นครปฐม – วันที่ 19 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา วงการมวยไทยต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อนายชวินทร์วุฒิ ก้องธรนินทร์ หรือ "วิน" อดีตนักแสดงชื่อดัง ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าค่ายมวยสิงห์อาชา ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีกับ นายวินัย เทพธานี หรือที่รู้จักกันในวงการมวยว่า วินัยเล็ก พ.รังสรรค์ หรือ ป๋องไฟฟ้า ซึ่งเป็นอดีตนักมวยชื่อดัง และเคยทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ประจำค่ายสิงห์อาชา ในข้อหาชักชวนนักมวยในสังกัดให้ทำการล้มมวย

เหตุการณ์ที่นำไปสู่การแจ้งความครั้งนี้ เกิดขึ้นภายหลังการแข่งขันในรายการ "ศึกมวยไทยพันธมิตร" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2568 ณ เวทีมวยชั่วคราว วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม โดยมีนักมวยในค่ายสิงห์อาชา คือ พีรัชชัย พันสุยา ตกเป็นเหยื่อ ถูกว่าจ้างจาก นายวินัย เทพธานี ให้ล้มมวยในการแข่งขันครั้งดังกล่าว ด้วยเงินจำนวน 80,000 บาท

ภายหลังจากการแข่งขันและได้มีการสอบสวน พีรัชชัย พันสุยา นักมวยที่ถูกว่าจ้าง ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการนำส่งข้อมูลและหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการล้มมวยในครั้งนี้ให้กับทางค่ายและเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นายชวินทร์วุฒิ ก้องธรนินทร์ กล่าวด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดและผิดหวังอย่างยิ่งว่า "ผมทำมวยด้วยใจรัก และมองมวยไทยในฐานะกีฬาอันมีเกียรติ ไม่ใช่การพนัน พฤติกรรมของอดีตเทรนเนอร์รายนี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของค่าย และวงการมวยไทย แต่ยังกระทบต่อผู้จัดงานที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริตด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมยอมไม่ได้ ให้เกิดขึ้นในค่ายผมและในวงการมวยไทย"

การกระทำของ นายวินัย เทพธานี ถือเป็นการบ่อนทำลายวงการมวยไทยอย่างร้ายแรง เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของกีฬา การแข่งขัน และทำลายขวัญกำลังใจของนักมวยที่ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อขึ้นชกอย่างสมศักดิ์ศรี

ด้านโปรโมเตอร์และทีมผู้จัดการแข่งขันศึกมวยไทยพันธมิตร ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนและให้การสนับสนุนทีมงานค่ายสิงห์อาชาอย่างเต็มที่ในการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำว่าการล้มมวยเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ และสมควรถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์และความน่าเชื่อถือของวงการมวยไทย

นอกเหนือจากการดำเนินคดีอาญาตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว นายชวินทร์วุฒิ ก้องธรนินทร์ ยังเตรียมยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งกับ นายวินัย เทพธานี เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งในส่วนของค่าขาดประโยชน์ ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงของค่ายมวยสิงห์อาชา ตลอดจนผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นต่อความเชื่อมั่นจากแฟนมวยไทยและผู้จัดงานต่างๆ

คดีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนถึงปัญหาการล้มมวยที่ยังคงกัดกินวงการมวยไทย และเป็นบทพิสูจน์ถึงความตั้งใจจริงของคนในวงการที่ต้องการเห็นมวยไทยเป็นกีฬาที่บริสุทธิ์ ปราศจากการพนันและการทุจริต