เนสท์เล่เผชิญวิกฤตศาลสั่งห้ามผลิต-จำหน่ายเนสกาแฟในไทย กระทบทั้งห่วงโซ่อุปทาน
เนสท์เล่ ประเทศไทย กำลังเผชิญกับวิกฤตทางกฎหมายหลังศาลแพ่งมีนบุรีออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ Nescafé ในประเทศไทย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และซัพพลายเออร์ทั่วประเทศ
จากกรณีที่เนสท์เล่ยุติสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเนสกาแฟในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2533 หลังศาลอนุญาโตตุลาการสากลมีคำตัดสินให้ยุติสัญญา โดยมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้น QCP ได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลแพ่งมีนบุรี จนนำมาสู่คำสั่งห้ามดำเนินการทางการค้าดังกล่าว ทางเนสท์เล่แจ้งว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลขณะเดียวกันก็เตรียมยื่นคัดค้านพร้อมนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม
ผลกระทบจากคำสั่งศาลครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากเนสกาแฟเป็นแบรนด์กาแฟสำเร็จรูปยอดนิยมที่มียอดขายสูงสุดในประเทศ โดยแต่ละปีเนสท์เล่รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจากเกษตรกรไทยมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งประเทศ
นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อ:
- ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกกว่า 200,000 ราย
- เกษตรกรโคนมที่จัดส่งวัตถุดิบ
- ซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่การผลิต
- ผู้บริโภคหลายล้านคน
ทางบริษัทได้ออกหนังสือแจ้งลูกค้าปลีกทั่วประเทศแล้วเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ให้ระงับการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟชั่วคราว ขณะที่สินค้าคงเหลือยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ
เนสท์เล่ยืนยันว่าจะดำเนินการทุกทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์และมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไป โดยในช่วงปี 2561-2567 บริษัทได้ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วกว่า 22,800 ล้านบาท