เจอตัวแล้ว! ‘เจ๊แก้ว’ เจ้าของแผงทุเรียน หายปริศนา เข้าพบ ตร. ยันปลอดภัย ไม่ถูกทำร้าย แค่ไปปรึกษาเพื่อน
จากกรณีที่ น.ส.สุจิตรา กุลจันทร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘เจ๊แก้ว’ เจ้าของแผงทุเรียนชื่อดังในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้หายตัวไปอย่างปริศนา หลังออกจากแผงทุเรียนไปทำธุรกรรมการเงิน พร้อมกับเครื่องประดับทองคำมูลค่าสูง ซึ่งสร้างความกังวลให้กับครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก ล่าสุด ได้มีความคืบหน้าในเรื่องนี้แล้ว
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ นายพงษ์พันธ์ แซ่ตั้น อายุ 44 ปี สามีของ น.ส.สุจิตรา ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อแจ้งความคนหาย โดยระบุว่า ภรรยาวัย 43 ปี ได้ขาดการติดต่อและหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากแผงจำหน่ายทุเรียนที่ตลาดโพธิ์หวาย บางกุ้ง อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีจุดประสงค์จะไปโอนเงินเข้าบัญชีให้กับสามีที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีสุราษฎร์ธานี
สิ่งที่ทำให้การหายตัวครั้งนี้เป็นที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ น.ส.สุจิตรา ได้นำทรัพย์สินมีค่าติดตัวไปด้วย ประกอบด้วย สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท, สร้อยข้อมือทองคำหนัก 10 บาท และแหวนทองคำหนัก 2 สลึง ซึ่งรวมมูลค่าประมาณ 775,000 บาท
ภายหลังรับแจ้งความ พ.ต.ท.วีรชาติ สีห์รา สารวัตร (สอบสวน) ได้รายงานให้ พ.ต.อ.พรณรงค์ การอรชัย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี รับทราบ และได้มีการเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายป้องกันปราบปราม ฝ่ายสืบสวนสอบสวน และงานจราจร เพื่อแบ่งมอบภารกิจและเร่งดำเนินการติดตามค้นหา น.ส.สุจิตรา โดยทันที เนื่องจากเกรงจะเกิดอันตราย
ความพยายามในการติดตามค้นหาได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจากการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและเครือญาติ ทำให้ได้รับข้อมูลสำคัญว่า น.ส.สุจิตรา มีเพื่อนที่ปรึกษาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เธอปรึกษาหารือด้วยบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ด้วยข้อมูลดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจและญาติจึงได้ติดต่อและประสานงานไปยังบุคคลตามสถานที่ดังกล่าว เพื่อตรวจสอบ
และแล้ว ความกังวลก็ได้คลี่คลายลง เมื่อล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 น.ส.สุจิตรา กุลจันทร์ หรือ ‘เจ๊แก้ว’ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี ด้วยตนเอง พร้อมด้วยบุตรสาวและบุตรชาย เพื่อแสดงตัวและยืนยันความปลอดภัย
ต่อหน้าพนักงานสอบสวน ‘เจ๊แก้ว’ ได้ยืนยันเป็นหลักฐานว่า ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของเธอ ไม่ได้ถูกประทุษร้าย หรือได้รับอันตรายแต่อย่างใด เธอชี้แจงว่า เหตุผลที่หายตัวไปและขาดการติดต่อไปนั้น เพียงแค่เดินทางไปอยู่กับเพื่อนที่ให้คำปรึกษาเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นตามที่หลายฝ่ายกังวล
ด้านพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองสุราษฎร์ธานี ได้ดำเนินการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานอย่างเป็นทางการว่า ได้พบตัวผู้ที่ได้รับการแจ้งความว่าสูญหายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการปิดคดีการตามหา ‘เจ๊แก้ว’ ในครั้งนี้ โดยมี น.ส.สุจิตรา พร้อมบุตรสาวและบุตรชาย ร่วมลงนามเป็นพยานในการลงบันทึกประจำวันดังกล่าว เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น