ครบ 15 ปี สลายการชุมนุมปี 53: นปช. ทวงถามความยุติธรรม ดันแก้กฎหมายนำผู้สั่งการขึ้นศาล
ครบ 15 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ที่แยกราชประสงค์ นปช. จัดพิธีรำลึก พร้อมเดินหน้าทวงคืนความยุติธรรม
วันนี้ (วันที่ [ใส่วันที่ปัจจุบัน]) เป็นวันครบรอบ 15 ปี ของเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมือง ณ แยกราชประสงค์ และพื้นที่ต่อเนื่องใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นการปราบปรามการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ในโอกาสนี้ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการชุมนุม พร้อมด้วยตัวแทนญาติผู้เสียชีวิตที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำสั่งปราบปรามของรัฐบาลในขณะนั้น ได้ร่วมกันจัดพิธีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่จากไป บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าและรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
นอกเหนือจากการประกอบพิธีทางศาสนา ผู้ร่วมงานยังได้แสดงจุดยืนร่วมกันในการทวงถามความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิตและครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เหตุผลสำคัญที่ยังคงต้องเรียกร้องความยุติธรรมอย่างต่อเนื่องคือข้อเท็จจริงที่ว่า จนถึงปัจจุบัน บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้สั่งการระดับนโยบาย และเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุมครั้งนั้น ยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลอย่างแท้จริง
หนึ่งในอดีตแกนนำ นปช. ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สังกัดพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ได้กล่าวย้ำในพิธีว่า ภารกิจในการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ญาติผู้สูญเสียยังคงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการนำตัวผู้ที่ออกคำสั่งมาเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาลให้ได้
รูปธรรมเบื้องต้นของการผลักดันเรื่องนี้ คือการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีสาระสำคัญในการเปิดช่องทางให้ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวสามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้โดยตรง เพื่อนำอดีตผู้นำรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นเข้าสู่ชั้นศาลเพื่อพิจารณาคดี
ข้อเสนอแก้ไข พ.ร.ป. ฉบับนี้ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆ มาแล้ว และมีความพร้อมที่จะเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภา แกนนำคนดังกล่าวระบุว่าจะเร่งผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ในการประชุมรัฐสภาสมัยหน้า ซึ่งจะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการนี้จะนำมาซึ่งความยุติธรรมที่รอคอยมานาน
ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ปี 2553 การชุมนุมทางการเมืองเริ่มมีความรุนแรงตั้งแต่ช่วงวันที่ 10 เมษายน และทวีความรุนแรงขึ้นจนนำไปสู่คำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าปราบปรามในวันที่ 19 พฤษภาคม โดยมีการใช้อาวุธสงคราม รถหุ้มเกราะ และกระสุนจริง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมเกือบ 100 ราย และมีผู้บาดเจ็บรวมถึงทุพพลภาพมากกว่า 1,000 คน เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็น “อาชญากรรมโดยรัฐที่มีต่อประชาชน” ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง
แม้ต่อมา ศาลได้มีคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพในหลายคดี โดยระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 ราย ที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ แต่ภายหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 ได้มีความพยายามจากฝ่ายเครือข่ายอำนาจนิยมที่จะล้มล้างหรือชะลอกระบวนการทางคดี ทำให้คดีความต่างๆ ยังคงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และเป็นเหตุให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสั่งการและปราบปรามยังไม่ต้องเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล
ปัจจุบัน คดีที่เกี่ยวข้องกำลังนับถอยหลังเข้าสู่การหมดอายุความ โดยเหลือเวลาอีกเพียงประมาณ 5 ปี ซึ่งสร้างความกังวลให้กับญาติผู้สูญเสีย การที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปัจจุบัน จึงเป็นความหวังใหม่สำหรับญาติผู้เสียหายว่า การผลักดันกฎหมายเพื่อเปิดทางให้นำตัวผู้สั่งการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการชั้นศาล จะเกิดขึ้นได้โดยเร็ว และนำมาซึ่งการคลี่คลายและค้นหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น