หมอวินชี้ปมผู้ปกครองถีบเด็ก 6 ขวบ: งานวิจัยฟันธง ใช้ความรุนแรง ‘ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม’ ระยะยาว ซ้ำส่งผลเสีย

จากกรณีที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์และสื่อต่างๆ เมื่อผู้ปกครองคนหนึ่งก่อเหตุใช้ความรุนแรงกับเด็กนักเรียนชายอายุ 6 ขวบภายในบริเวณโรงเรียน จนเกิดการแจ้งความและเป็นคดีความขึ้น ล่าสุด ‘หมอวิน’ หรือนายแพทย์พงศ์รุจิ์ ปริยาชัยพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก ‘เลี้ยงลูกตามใจหมอ’ ได้ออกมาโพสต์ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ พร้อมยกข้อมูลจากงานวิจัยมาประกอบ.

นายแพทย์พงศ์รุจิ์ กล่าวถึงเหตุการณ์ผู้ปกครองกระโดดถีบเด็ก 6 ขวบ จนล้มลงและได้รับบาดเจ็บ โดยตั้งคำถามที่ชวนให้คิดว่า ‘ถีบเด็กแล้วได้อะไร’ พร้อมทั้งย้ำว่า การใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือร่างกาย ตี เตะ หรือการกระทำในลักษณะใดก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่สังคมปัจจุบันมิอาจยอมรับได้.

พฤติกรรมเด็ก: ปกติแต่ต้องสอนและควบคุม

คุณหมอวินยังได้กล่าวถึงพฤติกรรมของเด็กๆ ว่า การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติในวัยนี้ เด็กบางคนอาจตั้งใจ บางคนอาจไม่ได้ตั้งใจ หรือบางคนอาจมีพฤติกรรมเล่นแรงจนเคยชิน ซึ่งอาจเป็นพฤติกรรมที่ติดมาจากการเล่นกับคนในครอบครัวที่เล่นด้วยความรุนแรงจนเกินไป คุณหมอชี้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ ‘บ่ด้ายยยยยยยย’ หรือไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม.

หน้าที่ของพ่อแม่และครูคือการเป็นคนกลางในการสอนให้เด็กรู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเหมาะสม สอนว่าการเล่นที่ดีนั้นเป็นอย่างไร พฤติกรรมแบบใดที่สังคมยอมรับไม่ได้ และฝึกให้เด็กยับยั้งชั่งใจในการเล่นกับผู้อื่นให้เบาลง เพราะการเล่นที่รุนแรงหากอีกฝ่ายไม่สนุกด้วย ย่อมเท่ากับการทำร้ายร่างกาย.

อีกกลุ่มหนึ่งคือเด็กที่มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ เมื่อถูกขัดใจ ถูกแกล้ง หรือถูกล้อ อาจแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายผู้อื่น ซึ่งผู้ใหญ่ต้องเข้ามาจัดการอย่างเด็ดขาด หยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้น สอนให้เด็กรู้จักอารมณ์ของตนเอง และสอนวิธีการจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาดูทั้งตัวเด็กผู้กระทำและเด็กผู้ถูกกระทำด้วย เพราะบางครั้งเด็กที่ถูกทำร้ายก็อาจมีส่วนในการยั่วยุ หรือมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ถูกแกล้งได้.

งานวิจัยยืนยัน: การทำโทษด้วยความรุนแรง ‘ไม่ได้ผล’ ระยะยาว

ประเด็นสำคัญที่คุณหมอวินเน้นย้ำคือ ข้อมูลจากงานวิจัยจำนวนมาก (นับหมื่นชิ้น) ที่พบว่า การทำโทษด้วยความรุนแรงทางร่างกาย (Physical Punishment) รวมถึงการทำโทษทางวาจา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ถูกกระทำในระยะยาวได้ ทำได้เพียงการหยุดพฤติกรรมนั้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น.

คุณหมอระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘คนมิใช่สัตว์เดียรัจฉาน การเฆี่ยนตีมิใช่สิ่งที่มนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน’ การศึกษาจำนวนมหาศาลชี้ชัดว่า การลงโทษด้วยความรุนแรงมีแต่จะส่งผลเสียให้กับเด็กในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน ผลกระทบต่ออารมณ์ ความเสี่ยงต่อโรคทางจิตเวชหรืออารมณ์ และนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอีกมากมาย.

แปลง่ายๆ คือ การตีลูกหรือใช้ความรุนแรงกับเด็ก อาจยิ่งทำให้พฤติกรรมของเด็กแย่ลงกว่าเดิม ซ้ำยังเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกไร้ค่า ลดทอนความมั่นใจในตัวเอง ลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ และปลูกฝังความรุนแรงให้กับเด็กโดยไม่รู้ตัว.

บทเรียนจากอดีตสู่ปัจจุบัน

คุณหมอวินยังได้เชื่อมโยงแนวคิดเรื่องการลงโทษในอดีต ซึ่งสมัยก่อนอาจมีกุศโลบายเพื่อให้มนุษย์อยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตราย หรือการลงโทษในอดีตถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความหวาดกลัว เพื่อควบคุมผู้คนให้อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ปกครอง ตามกลไกทางการเมืองการปกครองในยุคก่อน ซึ่งแตกต่างจากบริบทและค่านิยมของสังคมปัจจุบัน.

โดยสรุปคือ แม้ในอดีตการลงโทษด้วยความรุนแรงอาจเคยมีเหตุผลหรือวัตถุประสงค์ตามยุคสมัย แต่ในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาการของมนุษย์ และหลักสิทธิมนุษยชน การใช้ความรุนแรงในการอบรมสั่งสอนเด็กจึงเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องและส่งผลเสียในระยะยาวอย่างชัดเจน ผู้ใหญ่ในฐานะผู้ดูแล ควรหาวิธีการอื่นที่สร้างสรรค์และเหมาะสมกว่าในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็ก.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *