นิด้าโพลเผย คนไทยกังวลอนาคตเด็กสูง ชี้ ‘ค่าใช้จ่าย’ อุปสรรคใหญ่เข้าเรียนโรงเรียนที่เลือก หวังรัฐบาลช่วยยกระดับการศึกษา
นิด้าโพลเผยผลสำรวจล่าสุด ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตด้านการศึกษาของเยาวชนไทย โดยเฉพาะปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้บุตรหลานไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนตามที่ผู้ปกครองเลือกไว้ได้ แม้ประชาชนเกือบครึ่งมองว่า ‘โรงเรียนรัฐ’ สามารถมอบการศึกษาที่มีคุณภาพดีได้ก็ตาม ขณะที่ความหวังในการแก้ไขปัญหานี้พุ่งเป้าไปที่ ‘รัฐบาล’ เป็นหลัก
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย (TEP) ได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “เปิดเทอมแล้ว ลูกหลานเรียนที่ไหนดี” ซึ่งทำการสำรวจระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 26 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง ครอบคลุมทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ เพื่อสำรวจความกังวลของประชาชนที่มีต่ออนาคตของเยาวชนไทยในด้านการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
ผลการสำรวจเกี่ยวกับความกังวลที่มีต่ออนาคตของเยาวชนไทยในประเด็นด้านการศึกษา พบว่า ประชาชนร้อยละ 30.69 ระบุว่า ค่อนข้างกังวล รองลงมาคือ ไม่ค่อยกังวล ร้อยละ 25.19, กังวลมาก ร้อยละ 22.21 และ ไม่กังวลเลย ร้อยละ 21.91 แสดงให้เห็นว่าประชาชนกว่าครึ่ง (ร้อยละ 52.90) มีความกังวลต่ออนาคตการศึกษาของเยาวชนไทยในระดับหนึ่งถึงมากที่สุด
เมื่อถามถึงประเภทของโรงเรียนที่ประชาชนมองว่าสามารถมอบการศึกษาที่มีคุณภาพดีแก่เด็กไทยได้ ผลสำรวจชี้ว่า อันดับหนึ่งคือ โรงเรียนรัฐ ด้วยสัดส่วนร้อยละ 46.26 รองลงมาคือ โรงเรียนเอกชน ร้อยละ 26.18, โรงเรียนนานาชาติ ร้อยละ 7.18, ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ ร้อยละ 6.87, โรงเรียนสาธิต ร้อยละ 5.80, โรงเรียนสองภาษา (Bilingual School) ร้อยละ 5.04, โรงเรียนศาสนา และ โรงเรียนทางเลือก ร้อยละ 1.22 เท่ากัน และ โฮมสคูล (Homeschool) ร้อยละ 0.23
สำหรับเหตุผลหลักที่ประชาชนเลือกประเภทของโรงเรียนที่มองว่ามีคุณภาพดี พบว่าเหตุผลที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ ครูมีคุณภาพ (ร้อยละ 46.64) ตามมาด้วย หลักสูตรที่ทันสมัย (ร้อยละ 44.75), ใกล้บ้าน (ร้อยละ 33.69), โรงเรียนมีอุปกรณ์การเรียน การสอนที่ทันสมัย (ร้อยละ 32.46), และ ราคาที่เหมาะสม (ร้อยละ 31.31) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น สังคมที่ดี ความปลอดภัย และโอกาสในการเรียนภาษาที่ 2
ประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณาคือ โอกาสในการให้บุตรหลานได้เข้าเรียนในโรงเรียนตามที่เลือกไว้ จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 58.44 ระบุว่า มีโอกาสทุกคน แต่ก็มีสัดส่วนที่น่ากังวลคือร้อยละ 15.16 ระบุว่า ไม่มีใครมีโอกาส และร้อยละ 12.63 ระบุว่า มีโอกาสบางคน รวมแล้วกว่า 27.79% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีบุตรหลาน/เยาวชนในความดูแล เผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าเรียน
สำหรับเหตุผลหลักที่ทำให้บุตรหลานหรือเยาวชนในความดูแลบางคนหรือทุกคนไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนตามที่เลือกได้นั้น ผลสำรวจชี้ชัดว่าปัญหาอันดับหนึ่งคือ ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 56.05 ตามมาด้วย อยู่ไกลบ้าน (ร้อยละ 14.16), สอบไม่ผ่าน (ร้อยละ 8.55), บุตรหลาน/เยาวชนปฏิเสธที่จะทำตาม (ร้อยละ 8.55), และรับจำนวนจำกัด (ร้อยละ 7.97)
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงหน่วยงานที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนในการสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพได้ ประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 65.50 ระบุว่าคือ รัฐบาล (รวมกระทรวงและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง) รองลงมาคือ ไม่มีภาคส่วนใดทำได้ ต้องพึ่งพาตนเอง (ร้อยละ 18.86) และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ร้อยละ 9.54)
ผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนต่อภาครัฐในการเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดภาระค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อให้เยาวชนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพตามที่ผู้ปกครองปรารถนา โดยไม่ถูกจำกัดด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นอุปสรรคหลัก