เซี่ยงไฮ้, ประเทศจีน – เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในสนามบินนานาชาติแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้าไม่สามารถระบุตัวตนของหญิงสาวชาวจีนรายหนึ่งได้ เนื่องจากเธอแต่งหน้าหนาเกินไป จนเจ้าหน้าที่ต้องขอความร่วมมือให้เธอรีบลบเครื่องสำอางออกก่อนจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง

เหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่และกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดียในประเทศจีน โดยมีคลิปวิดีโอที่โพสต์โดยผู้ใช้บัญชี @wchinapost แสดงให้เห็นภาพของหญิงสาวคนดังกล่าวที่กำลังใช้แผ่นเช็ดเครื่องสำอางถูใบหน้าอย่างเร่งรีบ ด้วยท่าทีที่ค่อนข้างรีบร้อนและดูน่าเห็นใจ

ในคลิปวิดีโอ ปรากฏเสียงของเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกำลังพูดขึ้น คล้ายกับกึ่งล้อเลียนกึ่งตำหนิว่า “เช็ดออกให้เหมือนในรูปบัตรสิ!” และ “แต่งหน้าหนักขนาดนี้จะออกมาทำไมกันเนี่ย?” ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับสถานการณ์ดังกล่าวไม่น้อย

แม้ว่าข่าวนี้จะถูกรายงานโดยสื่อต่างประเทศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 แต่จากข้อมูลในบัตรโดยสารที่ปรากฏในคลิป คาดว่าเหตุการณ์จริงน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนของปีที่แล้ว (พ.ศ. 2567)

ภาพเหตุการณ์และประเด็นนี้จุดกระแสความคิดเห็นในหมู่ชาวเน็ตจีนอย่างกว้างขวาง

ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียจำนวนมากเข้ามาร่วมแสดงความเห็น บางส่วนแสดงความเห็นใจต่อหญิงสาวในคลิป โดยมองว่าเธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจและไม่ควรถูกล้อเลียนหรือพูดจาในลักษณะนั้น ผู้ใช้งานรายหนึ่งแสดงความเห็นว่า “เธอดูน่าสงสารมาก ๆ เธอไม่ควรถูกล้อเลียน มันไม่ตลกเอาซะเลย และโคตรไม่เหมาะสม”

ขณะเดียวกัน ชาวเน็ตอีกกลุ่มก็ตั้งข้อสังเกตและแสดงความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีสแกนใบหน้า โดยตั้งคำถามว่า “การแต่งหน้าไม่ควรทำให้ระบบจดจำใบหน้าทำงานผิดพลาดได้นะ” และตั้งคำถามว่าระบบที่ใช้งานในสนามบิน “อาจล้าสมัย” หรือไม่ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พร้อมเรียกร้องให้มีการอัปเกรดระบบให้มีความแม่นยำและรองรับความหลากหลายทางลักษณะบุคคลมากขึ้น

เหตุการณ์ที่สนามบินเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างรอยยิ้มหรือความเห็นใจบนโลกออนไลน์ แต่ยังจุดประเด็นที่น่าสนใจและนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและขีดความสามารถของเทคโนโลยีการสแกนใบหน้า ซึ่งถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญอย่างสนามบิน ซึ่งจำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนที่แม่นยำและรวดเร็วสูงสุด

อนึ่ง ภาพประกอบข่าวนี้มาจากบัญชี IG : @wchinapost ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของคลิปวิดีโอไวรัลดังกล่าว