อสังหาฯ อ่วม! ผลประกอบการ Q1/68 ดิ่งเหว รายได้-กำไรลดฮวบ 19 บริษัทขาดทุน
อสังหาฯ อ่วม! ผลประกอบการ Q1/68 ดิ่งเหว รายได้-กำไรลดฮวบ 19 บริษัทขาดทุน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเผชิญภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 หลัง 38 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานผลการดำเนินงานที่น่ากังวล โดยพบว่ารายได้รวมและกำไรสุทธิ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ที่สำคัญคือ มีจำนวนถึง 19 บริษัทที่พลิกกลับมามีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยข้อมูลจากการรวบรวมผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นจำนวน 38 แห่ง
ผลการสำรวจพบว่า รายได้รวมของ 38 บริษัทดังกล่าวอยู่ที่ 56,134.39 ล้านบาท ลดลง 21.04% และกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2,860.15 ล้านบาท ลดลงถึง 47.63% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการโอนกรรมสิทธิ์ที่ชะลอตัวอย่างชัดเจน
แม้ว่าภาพรวมจะน่ากังวล แต่ข้อมูลยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างบริษัท โดยบริษัทที่มีรายได้สูงสุด 10 อันดับแรก ยังคงครองสัดส่วนรายได้รวมสูงถึง 70.77% หรือคิดเป็น 39,731.58 ล้านบาท เช่นเดียวกับบริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 10 อันดับแรก ที่มีกำไรสุทธิรวมกันถึง 3,584.59 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้กลับสูงกว่ากำไรสุทธิรวมของทั้ง 38 บริษัทอย่างน่าสนใจ นี่เป็นผลมาจากการที่อีก 19 บริษัทที่เหลือมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ ซึ่งได้ฉุดรั้งกำไรสุทธิรวมของทั้งกลุ่มลงมาอย่างมาก
สาเหตุหลักที่ทำให้รายได้และกำไรของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ลดลงนั้น มีการชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าเป็นผลมาจากการเร่งโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ก่อนที่มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองของภาครัฐจะสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ทำให้ยอดขายและรายได้ในช่วงต้นปี 2568 ชะลอตัวลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ การที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ชะลอการตัดสินใจซื้อ เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมดังกล่าว รวมถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำลังซื้อและการตัดสินใจของผู้บริโภคชะงักงัน
จากผลประกอบการที่ลดลง ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ยของ 38 บริษัทในไตรมาสแรกของปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ 5.09% จากเดิม 7.68% ในช่วงเดียวกันของปี 2567
ในด้านของสินค้าคงคลัง ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่า สินค้าคงเหลือบวกกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนามีมูลค่ารวม 718,904.31 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 716,560.50 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 แสดงให้เห็นว่ามีสต็อกสินค้าที่ยังรอการขายอยู่ในตลาด
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 9 เดือนหลังของปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย และการที่ภาครัฐได้มีมาตรการขยายเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองลงมาอยู่ที่ 0.01% ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ของผู้บริโภคได้