15 ผู้ต้องหาคดีอาคาร สตง. ถล่ม ปฏิเสธข้อหา! รอง ผบช.น. ลั่น ‘กรรมใครก่อ ย่อมสนองในชาตินี้’
กรุงเทพฯ – ความคืบหน้าคดีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างและเกิดเหตุถล่มลงมาจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ล่าสุด ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางเข้าติดตามความคืบหน้าของคดี หลังศาลได้อนุมัติออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องรวม 17 ราย
พล.ต.ต.นพศิลป์ เปิดเผยว่า จากจำนวนผู้ต้องหาทั้งหมด 17 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งจากบริษัทผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมการก่อสร้าง และผู้รับเหมาก่อสร้าง ขณะนี้มีผู้ต้องหา 15 ราย ได้เดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ส่วนอีก 2 ราย ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง ได้ประสานมาว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนในช่วงบ่ายวันนี้
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ในระหว่างการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้ง 15 ราย ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมทั้งได้ขอเวลาเพื่อเตรียมเอกสารและคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรมาส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวนภายในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้
ในชั้นพนักงานสอบสวน ได้พิจารณาคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมด เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างกว้างขวางและมีผลกระทบสูง
พล.ต.ต.นพศิลป์ ยืนยันว่า การทำงานของพนักงานสอบสวนจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำคำให้การของผู้ต้องหา รวมถึงพยานหลักฐานทั้งหมด ไปขยายผลเพื่อตรวจสอบว่ามีบุคคลอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพิ่มเติมหรือไม่ หากพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงบุคคลใด ก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ส่วนกรณีที่มีการตั้งคำถามว่าจะมีการขยายผลไปถึงพนักงานหรือข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการเซ็นรับอาคารด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงรอข้อมูลและข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่นายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งขึ้นมาก่อน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากการขยายผลจากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย และการรวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆ ชี้ชัดว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องกับการตรวจรับงาน หรือมีส่วนในการกำหนดและตรวจรับข้อกำหนด (TOR) ตั้งแต่ต้น ก็จะดำเนินการขอหมายจับเช่นกัน
ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการฮั้วประมูลและนอมินี พล.ต.ต.นพศิลป์ เปิดเผยว่า ได้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งรับเป็นคดีพิเศษและอยู่ระหว่างดำเนินการในส่วนนี้แล้ว
สำหรับพฤติการณ์ที่นำไปสู่การขอหมายจับตามมาตรา 227 และ 238 ของประมวลกฎหมายอาญานั้น รอง ผบช.น. อธิบายว่า เกิดจากการที่การออกแบบ การควบคุม และการก่อสร้าง ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์มาตรฐาน ส่งผลให้อาคารถล่มและมีผู้เสียชีวิต
จากการรวบรวมพยานหลักฐานและการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากกองพิสูจน์หลักฐาน ดีเอสไอ และกรมโยธาธิการและผังเมือง พบข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ แบบแปลนการก่อสร้างไม่สอดคล้องกับกฎกระทรวงและไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ผลการตรวจสอบวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น ปูนและเหล็ก ก็พบว่าไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ใน TOR ซึ่งเป็นการกระทำที่ต่ำกว่ามาตรฐานอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการแก้ไขแบบแปลนในส่วนของปล่องลิฟต์และคอลิฟต์ โดยมีการใช้ลายเซ็นปลอมเพื่อแอบอ้างวุฒิวิศวกรในการรับรองการแก้ไข ซึ่งภายหลัง นายสมเกียรติ ชูแสงสุข ซึ่งถูกแอบอ้าง ได้ยืนยันว่าไม่ใช่ลายเซ็นของตนเอง และผลการตรวจสอบจากกองพิสูจน์หลักฐานก็ยืนยันว่าลายเซ็นดังกล่าวเป็นลายเซ็นปลอมจริง การกระทำทั้งหมดนี้จึงถือว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และไม่ได้มาตรฐาน และเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การขอหมายจับ
พล.ต.ต.นพศิลป์ ยังกล่าวถึงกระบวนการตรวจรับงานว่า ก่อนหน้านี้ สตง. ได้มีการตรวจรับงานไปแล้วทั้งหมด 22 งวด และได้มีการเรียกเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในคณะกรรมการตรวจรับการออกแบบ การก่อสร้าง และการควบคุมมาสอบปากคำแล้ว ซึ่งกระบวนการยังไม่เสร็จสิ้นทั้งหมด
ใน 22 งวดดังกล่าว ความคืบหน้าตามแผนงานจริงควรจะอยู่ที่ 80% แต่ความคืบหน้าจริงทำได้เพียง 33% เท่านั้น ซึ่งคณะกรรมการตรวจรับการออกแบบและก่อสร้างที่ตรวจรับงานในงวดที่ 22 ได้เสนอให้บอกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา และได้ยื่นเรื่องไปยังผู้ว่า สตง. เพื่อส่งต่อไปยังคณะกรรมการ สตง. ตั้งแต่ช่วงวันที่ 15 มกราคม 2568 ถึง 28 มีนาคม 2568 แต่ยังไม่ได้มีการบอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าอาคารได้ถล่มลงมาก่อน ซึ่งประเด็นนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม
สำหรับงบประมาณที่ สตง. ได้จ่ายไปแล้วสำหรับการก่อสร้าง 22 งวด คิดเป็นเงินประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่ สตง. ได้รับการจัดสรรมา
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ สตง. จะมีความผิด พล.ต.ต.นพศิลป์ ย้ำว่า การรวบรวมพยานหลักฐานกำลังดำเนินอยู่ หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใด ก็จะดำเนินการขยายผลต่อไป
เมื่อนักข่าวสอบถามอีกครั้งถึงการขยายผลไปยังข้าราชการที่เซ็นรับอาคาร ซึ่งผู้ต้องหา 17 คนที่ถูกออกหมายจับเป็นบริษัทเอกชนทั้งหมด พล.ต.ต.นพศิลป์ ตอบชัดเจนว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ได้จากคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งยังไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้ และยังต้องรอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
“พนักงานสอบสวนทำงานอย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน ไม่มีกลั่นแกล้งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ใครกระทำความผิดเหมือนที่บอกว่ากรรมใครที่ไปก่อไว้ ก็ย่อมจะสนองในชาตินี้อย่างแน่นอน” พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวย้ำ
ในตอนท้าย พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวถึงความกังวลของนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตที่พบแล้วถึง 89 ราย และอาคาร สตง. ที่มีความสูงถึง 30 ชั้น ได้พังถล่มลงมาในลักษณะ ‘แพนเค้กซีเมนต์’ ทั้งที่อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ จึงได้นำพยานแวดล้อม รวมถึงคลิปวิดีโอที่ประชาชนถ่ายไว้ขณะอาคารยุบตัวมาประกอบการสอบสวนทั้งหมด เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์ที่สุด