กรุงเทพฯ – บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เผชิญสถานการณ์ท้าทาย หลังแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทและบริษัทย่อยไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินได้ โดยมียอดผิดนัดชำระดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน 27.48 ล้านบาท เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สถาบันการเงินผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกชำระคืนเงินกู้ยืมทั้งหมดในวงเงินรวม 2,875 ล้านบาท

รายละเอียดเงินกู้ยืมที่อาจถูกเรียกคืน ประกอบด้วย เงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวของบริษัทจำนวน 940.20 ล้านบาท และ 831.32 ล้านบาท ตามลำดับ รวมถึงเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาวของบริษัทย่อยอีก 225.23 ล้านบาท และ 878.57 ล้านบาท ตามลำดับ โดยนายวิทวัส เวชชบุษกร กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศของ RS เป็นผู้แจ้งข่าวสารดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568

การผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้ ถือเป็นเหตุให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องดำเนินการขึ้นเครื่องหมาย CB (Caution) บนหลักทรัพย์ของบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือนแก่นักลงทุนให้ทราบว่า บริษัทกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงาน โดยเครื่องหมาย CB จะเริ่มปรากฏบนกระดานซื้อขายตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

สถานการณ์หนี้สินของ RS เกิดขึ้นพร้อมกับการประกาศผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ซึ่งบริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิถึง 274.63 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.1258 บาท ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 1 ปี 2567) ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 130.25 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0609 บาท ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ยังคงประสบปัญหา

อย่างไรก็ตาม RS ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนี้บริษัทและบริษัทย่อยกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาอย่างเร่งด่วนกับสถาบันการเงิน เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้และหาแนวทางในการแก้ไขสถานการณ์ทางการเงิน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ของ RS อย่างใกล้ชิด และพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัท