สืบ3 ทลายแก๊ง ‘วัยรุ่นสร้างตัว’ ปลอมเป็นไรเดอร์ส่งบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ ยึดของกลางกว่า 1,300 รายการ พบยอดขายพุ่งหลักแสนต่อวัน

กรุงเทพฯ – เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล 3 ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.กฤษ ก้อมน้อย ผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ได้นำกำลังเข้าจับกุมแก๊งลักลอบค้าบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ ซึ่งใช้วิธีการสุดแนบเนียนในการตบตาเจ้าหน้าที่และลูกค้า โดยปลอมตัวเป็นพนักงานส่งสินค้า (ไรเดอร์) ของบริษัทขนส่งออนไลน์ชื่อดัง เพื่ออำพรางการส่งสินค้าผิดกฎหมาย

ปฏิบัติการครั้งนี้ นำโดย พ.ต.ท.จำนงค์ ประสพสุขมั่งดี รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 พร้อมด้วย ร.ต.อ.นพพนธ์ แก้ววรรณา และ ร.ต.อ.ณฐภัทร์ จุ่งพิวัฒน์ ได้ร่วมกันวางแผนและเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย คือ นายพงษ์ศิริ หรือพงษ์ อายุ 27 ปี และนายภัทร หรือป็อก อายุ 27 ปี

การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล 3 พบว่า มีร้านค้าแห่งหนึ่งในตลาดทองร่มเกล้า มีพฤติกรรมน่าสงสัย แอบเปิดขายบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าให้กับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยหน้าร้านจะทำทีปิดเงียบเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่เบื้องหลังมีการจัดการคำสั่งซื้อและจัดส่งอย่างเป็นระบบ เมื่อลูกค้าสั่งซื้อและโอนเงินเข้าบัญชี จะมีการแจ้งที่อยู่และพิกัดรับสินค้า จากนั้นจะมีคนส่งของ ซึ่งมักจะอำพรางตัวโดยสวมใส่เสื้อคลุมของพนักงานส่งสินค้าออนไลน์ และใช้รถจักรยานยนต์ที่มีกล่องใส่พัสดุติดอยู่ท้ายรถ เพื่อออกไปส่งสินค้าให้กับลูกค้า

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนซุ่มสังเกตการณ์บริเวณใกล้เคียงร้านค้าดังกล่าว กระทั่งพบชายต้องสงสัยสวมเสื้อคลุมสีดำ ซึ่งเป็นเสื้อคลุมของพนักงานส่งพัสดุแบรนด์ดังยี่ห้อหนึ่ง (ไลน์แมน) หอบหิ้วสิ่งของบางอย่างออกมาจากร้าน และนำไปใส่ไว้ในกล่องพัสดุบนรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ สีแดงดำ ก่อนจะขับขี่ออกจากร้านมุ่งหน้าไปทางถนนร่มเกล้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น

จากการตรวจค้นในกล่องพัสดุท้ายรถจักรยานยนต์ พบถุงและกล่องกระดาษสีน้ำตาลจำนวนหลายชิ้น ระบุชื่อลูกค้า เมื่อเปิดดูพบว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งยี่ห้อยอดนิยมจำนวน 9 เครื่อง ซุกซ่อนอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายพงษ์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และขยายผลเข้าตรวจค้นภายในร้านค้า

ภายในร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับตะลึงกับปริมาณของกลางที่พบ ประกอบด้วย บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 18 เครื่อง, บุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง จำนวน 85 เครื่อง, น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าแบบเติม จำนวน 229 ขวด และอุปกรณ์สำหรับบุหรี่ไฟฟ้าจำพวกหัวพอตและคอยล์อีกจำนวน 1,013 ชิ้น รวมของกลางทั้งหมดที่ตรวจยึดได้ถึง 1,354 รายการ นอกจากนี้ ยังพบแผ่นป้าย QR Code สำหรับช่องทางการชำระเงินไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย, แผ่นโบชัวร์สินค้า และแท็บเล็ตที่ติดตั้งโปรแกรมสำหรับควบคุมรายการสินค้าคงคลังและบันทึกยอดขายในแต่ละวัน จากการตรวจสอบข้อมูลในแท็บเล็ต พบว่ามีรายการขายในแต่ละวันเป็นยอดเงินหลักหลายหมื่นบาท ไปจนถึงหลักแสนบาท

นายพงษ์ หนึ่งในผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า กลุ่มของพวกตนเรียกตัวเองว่า “วัยรุ่นสร้างตัว” โดยมี น.ส.พัช และ นายหม่ำ เป็นผู้เช่าร้านและทำหน้าที่เป็นคนกลางติดต่อขายสินค้าออนไลน์กับลูกค้า เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามาทางไลน์ จะแจ้งให้นายป็อก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาอีกราย ทำหน้าที่ควบคุมสต็อกสินค้าในร้าน บรรจุหีบห่อ และเขียนชื่อลูกค้า จากนั้นจึงให้นายพงษ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมขณะส่งของ ทำหน้าที่ออกไปส่งสินค้า โดยจะปลอมตัวเป็นพนักงานส่งสินค้าออนไลน์ และนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่ไว้ในกระเป๋าหรือกล่องพัสดุของไรเดอร์ เพื่อใช้ตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ให้สงสัยหรือทำการตรวจค้น ซึ่งพวกตนใช้วิธีนี้หลบเลี่ยงการจับกุมมาได้หลายครั้งแล้ว

นายพงษ์ให้การเพิ่มเติมว่า กลุ่มของตนเริ่มทำการขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังในช่วงที่รัฐบาลมีมาตรการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น ทำให้สินค้าขาดตลาดและหาได้ยาก ส่งผลให้ราคาบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งกลายเป็นโอกาสในการทำกำไรอย่างมหาศาล ทำให้มีออร์เดอร์เข้ามาในกลุ่มอย่างทะลัก จนมียอดขายต่อวันสูงถึงหลักหลายหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาท ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในย่านชานเมืองกรุงเทพฯ เช่น ร่มเกล้า ลาดกระบัง มีนบุรี และหนองจอก นอกจากนี้ ยังเคยมีลูกค้าประจำที่อยู่ไกลถึงจังหวัดนครนายก ซึ่งพวกตนก็ไปส่งให้โดยคิดค่าส่งสูงถึง 800 บาท

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาทั้งสองคน ในความผิดตามกฎหมาย 2 ข้อหาหลัก คือ

  1. ร่วมกันเป็นผู้ขายหรือจัดหาด้วยประการใดๆ หรือเสนอ หรือชักชวนให้มีการขาย ให้บริการหรือจัดหาด้วยประการใดๆ ซึ่งสินค้าบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า โดยเรียกค่าตอบแทนเป็นเงินหรือผลประโยชน์อื่น อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 ลงวันที่ 28 มกราคม 2558 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  2. ร่วมกันซ่อนเร้น หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้ผ่านพิธีศุลกากร ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ยาสูบ) (บุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ำยาเติม หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้ร่วมกัน) ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 246 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จากนั้น ได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อติดตามตัว น.ส.พัช และนายหม่ำ ซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *