ภูมิธรรม เวชยชัย พร้อมรับไม้ต่อคุม ‘ดีเอสไอ’ หากนายกฯ มอบหมาย ยันไร้นิติสงครามในคดีฮั้ว สว.
สุวรรณภูมิ – เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่ควบคุมดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)
นายภูมิธรรม กล่าวว่า พ.ต.อ.ทวี ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอ ในฐานะรองประธาน กคพ. โดยตนได้รับทราบจากนายกรัฐมนตรีว่า ในวันอังคารที่ 20 พฤษภาคมนี้ จะมีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลเข้ามากำกับดูแลดีเอสไอแทนในส่วนดังกล่าว
ในฐานะประธาน กคพ. ตนยืนยันที่จะปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างให้เป็นไปตามกฏหมาย ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าอาจส่งผลกระทบเกี่ยวข้องกับงาน ส่วนตนเองนั้น ศาลได้พิจารณาและให้ความเมตตา ไม่พบปัญหาหรือความเกี่ยวข้องโดยตรง ยอมรับว่ารู้สึกสบายใจขึ้น เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องที่ศาลพิจารณา แต่ยังคงกำกับดูแลคดีและดำเนินการตามครรลองในฐานะประธาน กคพ. ที่มีเรื่องเสนอขึ้นมาตามปกติ
เมื่อถูกถามว่า หากนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้เข้ามาดูแลดีเอสไอโดยตรง จะรู้สึกหนักใจหรือไม่ นายภูมิธรรม ตอบอย่างชัดเจนว่า หากผู้บังคับบัญชามอบหมาย ก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น โดยไม่รู้สึกกังวลว่าจะต้องถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.ทวี เพราะการดำเนินการทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ เน้นย้ำว่าทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการ
สำหรับฉากทัศน์การรับมือกับคำวินิจฉัยของศาล ไม่ว่าจะเป็นไปในทางบวกหรือลบนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่ได้มีการเตรียมการเฉพาะเจาะจง ถือว่าทำตามหน้าที่ โดยศาลมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัย และทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของศาล หน้าที่ของตนคือการรวบรวมข้อมูลข่าวสารและหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยต่อไป
นายภูมิธรรม ได้ชี้แจงบทบาทของตนในการเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ว่า ในฐานะประธาน กคพ. เมื่อมีผู้ร้องเข้ามาและปฏิบัติตามกระบวนการ โดยเลขาธิการ กกต. ได้ทำเรื่องเข้ามา กคพ. ก็รับพิจารณา และเมื่อพิจารณาแล้วว่าควรเข้าสู่การเป็นคดีพิเศษ ก็ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
นายภูมิธรรม อธิบายเพิ่มเติมว่า ในการพิจารณาคดีดังกล่าว มีการแยกส่วนที่อยู่ในอำนาจของ กกต. ให้ดำเนินการไป และส่วนที่เป็นอำนาจของคดีพิเศษ ก็ดำเนินการรวบรวมหลักฐาน ย้ำว่ายังไม่ได้ตัดสินว่าใครเป็นอย่างไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อกล่าวหาและหลักฐานที่รวบรวมได้ หากหลักฐานครอบคลุมไปถึง ก็ว่าไปตามนั้น หากหลักฐานยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาลที่จะพิจารณา
เมื่อถามถึงการตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้อาจเป็น ‘นิติสงคราม’ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล นายภูมิธรรม มองว่าเป็น ‘นานาทัศนะ’ หรือมุมมองที่หลากหลาย ส่วนตัวเขายืนยันว่าทำตามหน้าที่
ประเด็นที่มีการมองไปถึงขั้นว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างสีทางการเมือง หรือสีแดงกำลังเสียเปรียบสีน้ำเงินนั้น นายภูมิธรรม กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีสีแดงไม่มีสีน้ำเงิน เรื่องนี้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย ถ้าข้อเท็จจริงสะท้อนว่ามีปัญหา ก็ต้องแก้ไขตามปัญหาที่มีอยู่ อย่าไปจินตนาการเรื่องความขัดแย้งให้มากเกินไป พร้อมเปิดเผยว่า ตนยังส่งแจกันดอกไม้ไปเยี่ยมรัฐมนตรีที่ป่วยทุกคนอยู่เลย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ยังคงดีอยู่