ครบรอบ 10 ปี ‘หลวงพ่อคูณ’ ละสังขาร: ย้อนรำลึกเกจิดังผู้ให้ กับพินัยกรรม ‘เรียบง่าย’
16 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 นับเป็นวันครบรอบ 10 ปี การละสังขารของ พระเทพวิทยาคม หรือที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันในนาม หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา เกจิอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมและคุณูปการอันยิ่งใหญ่
หลวงพ่อคูณ มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 11.45 น. ณ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สิริอายุ 92 ปี การจากไปของท่านสร้างความโศกเศร้าแก่ลูกศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ
เส้นทางอาพาธ ก่อนละสังขาร
หลวงพ่อคูณเผชิญกับอาการอาพาธมาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง เริ่มจากโรคหัวใจในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ท่านทำพินัยกรรมไว้ ต่อมามีอาการเลือดคั่งในสมองในปี พ.ศ. 2547 การติดเชื้อในกระแสเลือดในปี พ.ศ. 2552 วัณโรคปอดในปี พ.ศ. 2554 และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะพร้อมภาวะแทรกซ้อนทางปอดในปี พ.ศ. 2556 อาการอาพาธเหล่านี้ส่งผลให้ท่านต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลายครั้ง แม้จะดีขึ้นและกลับวัดได้ แต่สุขภาพโดยรวมก็อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุด เช้าตรู่วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 หลวงพ่อคูณในวัย 92 ปี มีอาการอาพาธหนักถึงขั้นหัวใจหยุดเต้น คณะพยาบาลเร่งปั๊มหัวใจและนำส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แพทย์พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งสแกนสมอง ให้ยากระตุ้นหัวใจ และใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ท่านยังคงอยู่ในภาวะโคม่าขั้นวิกฤต
ตลอดทั้งวัน โรงพยาบาลได้ออกแถลงการณ์แจ้งอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณ โดยฉบับที่ 1 ระบุว่ามีลมรั่วในปอดซ้ายและเสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจ อาการยังไม่คงที่ ฉบับที่ 2 ในช่วงค่ำ ระบุว่าสัญญาณชีพยังไม่คงที่ ต้องใช้ยากระตุ้นหัวใจ มีเลือดออกในทางเดินอาหารมาก และภาวะไตหยุดทำงาน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการที่หัวใจและปอดหยุดทำงานนาน
กระทั่งเวลา 05.40 น. ของวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 หลวงพ่อคูณหัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง แพทย์พยายามช่วยฟื้นคืนชีพ แถลงการณ์ฉบับที่ 3 ระบุว่ามีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดออกในช่องทรวงอก ส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลวและหัวใจหยุดเต้น ต้องฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม แต่อาการโดยรวมยังทรุดลง
แม้คณะแพทย์จะพยายามยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่ในเวลา 11.45 น. ของวันเดียวกัน หลวงพ่อคูณก็ละสังขารอย่างสงบตามที่ได้มีการประกาศในแถลงการณ์ฉบับที่ 4 นพ.พินิศจัย นาคพันธ์ แพทย์ประจำตัวท่านเปิดเผยว่า หลวงพ่อจากไปอย่างสงบ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานใดๆ อีกต่อไป แม้ร่างกายจะไม่ตอบสนองแล้ว แต่แพทย์ก็พยายามเต็มที่จนนาทีสุดท้าย
เปิดพินัยกรรม: อุทิศร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ จัดงานเรียบง่าย
ทันทีที่ข่าวการมรณภาพแพร่กระจาย สิ่งที่ลูกศิษย์และสาธารณชนให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ พินัยกรรมที่หลวงพ่อคูณได้ทำไว้ลงวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ซึ่งแสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ของท่านเกี่ยวกับการจัดพิธีศพ โดยมีใจความสำคัญ 4 ข้อ ดังนี้
- มอบร่างให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น: ภายใน 24 ชั่วโมงหลังมรณภาพ เพื่อให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) นำไปศึกษาค้นคว้าตามวัตถุประสงค์ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์
- พิธีสวดอภิธรรม: ให้คณะแพทยศาสตร์ มข. ทำพิธีสวดพระอภิธรรมศพ 7 วัน ที่คณะแพทยศาสตร์
- การจัดงานบำเพ็ญกุศล: เมื่อสิ้นสุดการศึกษาค้นคว้าแล้ว ให้จัดงานแบบเรียบง่าย ละเว้นการพิธีสมโภชใดๆ และห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ โกศ และพระราชพิธีอื่นๆ เป็นกรณีพิเศษ โดยให้คณะแพทยศาสตร์ มข. จัดพิธีเช่นเดียวกับการจัดพิธีศพของอาจารย์ใหญ่นักศึกษาแพทย์ประจำปีร่วมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น แล้วเผา ณ เมรุบนสถานวัดหนองแวง พระอารามหลวง หรือวัดอื่นในจังหวัดขอนแก่น
- การลอยอัฐิ: เมื่อดำเนินเสร็จสิ้นแล้ว อัฐิ เถ้าถ่าน และเศษอังคารทั้งหมด ให้คณะแพทยศาสตร์ มข. นำไปลอยที่แม่น้ำโขง จังหวัดหนองคาย ตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม
นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มข. ในขณะนั้น ได้ยืนยันเจตจำนงอันแน่วแน่ของหลวงพ่อคูณที่ต้องการให้ร่างมาเป็นอาจารย์ใหญ่เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา และท่านได้ย้ำสั่งอย่างจริงจังเสมอให้ทำตามพินัยกรรม ฉบับที่ทำในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งยกเลิกฉบับปี พ.ศ. 2536
เกจิแห่งยุค: ผู้ให้และสัญลักษณ์แห่งความเรียบง่าย
หลวงพ่อคูณมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภาษาพูดสำเนียงโคราชอันเป็นกันเอง (มีคำว่า "มึง" และ "กู" เป็นคำติดปาก) และการนั่งยองๆ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ท่านเป็นพระนักเทศน์ที่สอนธรรมะง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง เข้าถึงจิตใจผู้คน ด้วยวัตรปฏิบัติที่เรียบง่ายและเมตตา ท่านจึงเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้สร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลมากมายที่มีพุทธคุณด้านเมตตา มหานิยม และแคล้วคลาด จนเป็นที่นิยมของนักสะสมและเซียนพระ และด้วยความที่มีลูกศิษย์มากมาย จึงมีผู้บริจาคเงินผ่านท่านจำนวนมหาศาล ซึ่งเงินทั้งหมดท่านได้นำไปสร้างสาธารณประโยชน์มากมายในจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่อื่นๆ ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ถนน รวมถึงมอบทุนการศึกษา และท่านยังเคยทูลเกล้าฯ ถวายเงินกว่า 100 ล้านบาท แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
"เงินที่นำมาทำบุญกั๊บกู กูจะไม่เก๊บไว่ เขานำมาฝากกูกูก็นำไปทำบุญให่เขาต่อ เขาก็เอามาให่กูอิ๊กมันก็หมุนเวียนไปอย่างนี่ การทำบุญทำทานจะต้องฟึ้ก ยิ่งให่ มันก็ยิ่งมา ถ้ากูเก๊บไว่ เขาจะได้บุญอะไรเหล่า และเขาก็ไม่เอามาให่กูต่อไป" คำสอนและแนวคิดอันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งของหลวงพ่อคูณ สะท้อนถึงปณิธานแห่งการเป็น "ผู้ให้" อย่างแท้จริง ซึ่งยังคงอยู่ในความทรงจำของพุทธศาสนิกชนตลอดไป