ชูศักดิ์ สั่งปลด เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง-เจ้าคณะภาค 14 เซ่นปมยักยอกเงิน 300 ล้าน พร้อมเร่งตรวจสอบทรัพย์สินวัด
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี พระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม และเจ้าคณะภาค 14 ถูกดำเนินคดีในความผิดฐานทุจริตยักยอกเงินวัดจำนวน 300 ล้านบาท
นายชูศักดิ์ กล่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ว่า ทันทีที่ได้รับทราบข่าวในตอนเช้า ตนได้สั่งการเป็นการเร่งด่วนให้ผู้อำนวยการ พศ. ประสานงานกับ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และกรรมการมหาเถรสมาคม วัดไตรมิตรวิทยาราม เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากพระธรรมวชิรานุวัตรดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 14 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการปกครองสงฆ์
มาตรการเบื้องต้นที่ดำเนินการคือ การให้พระธรรมวชิรานุวัตรพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และเจ้าคณะภาค 14 โดยจะมีการตั้งพระสงฆ์รูปอื่นขึ้นมารักษาการแทนในทั้งสองตำแหน่ง ควบคู่ไปกับการตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวอย่างละเอียด จากนั้นอาจจะมีการพิจารณาการดำเนินการทางวินัยสงฆ์ต่อไปในภายหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการให้ท่านพ้นจากอำนาจหน้าที่ในการบริหารวัดและการปกครองคณะสงฆ์ในภาคไปก่อน ซึ่งสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีก็ได้เห็นชอบในแนวทางการดำเนินการอย่างเร่งด่วนตามที่ได้มีการนำเสนอไป
ในประเด็นเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินและเงินทองของวัด นายชูศักดิ์ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ควรจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินเงินทองของวัดโดยเร่งด่วนเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลทรัพย์สินเงินทองของวัดคือเจ้าอาวาส เมื่อเกิดกรณีที่ถูกกล่าวหาเช่นนี้ขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบว่าทรัพย์สินเงินทองของวัดมีสถานะเป็นอย่างไร โดยอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีตามที่ท่านเห็นสมควร
เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการตรวจสอบวัดทั่วประเทศจากกรณีที่เกิดขึ้น นายชูศักดิ์ได้กล่าวถึงนโยบายสำคัญ 8-9 ข้อที่ตนได้มอบหมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการที่ได้ประชุมเน้นย้ำกับผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ทั่วประเทศ ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลและป้องกันการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
นายชูศักดิ์เน้นย้ำว่า การสอดส่องดูแลนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเฝ้าระวังพฤติการณ์ในบางลักษณะเท่านั้น แต่ให้รวมถึงการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของพระลูกวัด หรือแม้แต่เจ้าอาวาส ที่มีลักษณะเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ขอให้มีการดำเนินการตามมาตรการที่เหมาะสมทันที โดยได้มีการเร่งรัดในเรื่องนี้ และได้รับรายงานผลการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง หากมีข่าวเกิดขึ้น หรือแม้จะไม่มีข่าว แต่มีพฤติกรรมที่เข้าข่าย ก็จะมุ่งเน้นการจัดการกับการประพฤติผิด การกระทำผิดพระธรรมวินัย หรือการนำความเชื่อที่ทำให้เกิดความงมงายและไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งไม่ใช่หลักคำสอนของศาสนาพุทธ อันถือเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง
สำหรับระบบการเบิกจ่ายเงินภายในวัดนั้น นายชูศักดิ์ยอมรับว่ามีระเบียบและมีการตรวจตราอยู่พอสมควร แต่ก็เป็นไปตามกลไกปกติ ซึ่งหากผู้บริหารสูงสุดอย่างเจ้าอาวาสเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง บางครั้งการตรวจสอบภายในก็อาจทำได้ยาก เมื่อกรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะขึ้น จึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องเข้าไปดูแลและดำเนินการ ซึ่งการแนะนำให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดขึ้นมานั้น ก็เพื่อเป้าหมายในการสร้างความโปร่งใสและเรียกความเชื่อมั่นคืนมา