รองประธานวุฒิสภา ยัน ‘ไม่กังวล’ ปมถูก กกต. แจ้งข้อหาได้มาซึ่ง สว. ไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ชี้รอตามกระบวนการ
พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา ได้ให้สัมภาษณ์ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกหมายแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก ซึ่งได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก
พล.อ.เกรียงไกร ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นี้ ตนเองจะเดินทางไปที่สำนักงาน กกต. ตามหมายเรียก เพื่อรับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหาที่ถูกแจ้งมา โดยระบุว่าจะต่อสู้ไปตามข้อเท็จจริง และแสดงความไม่กังวลใจใดๆ ทั้งสิ้นต่อกระบวนการนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกระแสเรียกร้องจากสังคมและกลุ่ม สว. บางส่วน ที่ขอให้ สว. ที่ถูกกล่าวหาแสดงสปิริตด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในระหว่างที่การสอบสวนยังดำเนินอยู่ พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบว่ามีข้อกฎหมายใดที่กำหนดให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างนี้หรือไม่ และขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ความเห็นดังกล่าวมาจากบุคคลที่มีสถานะสำคัญในฐานะรองประธานวุฒิสภา ซึ่งกำลังเผชิญกับคดีที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว. เมื่อปี 2567 โดยการเลือกตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งมีมูลเหตุให้เชื่อได้ว่าอาจมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จนเข้าสู่ขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้อง
กระบวนการนี้เริ่มต้นจากการที่คณะกรรมการสืบสวนฯ ของ กกต. ได้ออกหมายเรียก สว. กลุ่มแรกจำนวน 54 คน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก โดยกำหนดให้ สว. กลุ่มดังกล่าวเข้ามารับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหาในระหว่างวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2568
นอกจากกระบวนการของ กกต. แล้ว ยังมีอีกส่วนคือการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ในข้อหาที่ร้ายแรงกว่า ได้แก่ ข้อหาฟอกเงินและอั้งยี่ เนื่องจาก ดีเอสไอ มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงที่เชื่อได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการสมคบ หรือฮั้วกันเป็นขบวนการใหญ่ระดับประเทศ เพื่อให้ได้ถูกเลือกเป็น สว.
ดีเอสไอ ระบุว่า ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ จะเข้าสู่ขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องในส่วนของการสอบสวนของ ดีเอสไอ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ กกต. ได้ออกหมายแจ้งข้อกล่าวหา ปรากฏว่าได้มีเสียงเรียกร้องจาก สว. ด้วยกันเอง รวมถึงจากภาคส่วนต่างๆ ในสังคมอย่างกว้างขวาง ให้ สว. ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้แสดงจิตสำนึกต่อสาธารณะและความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการตัดสินใจหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเป็นการชั่วคราว โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลที่จะมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
เหตุผลเบื้องหลังข้อเรียกร้องนี้มาจากความกังวลว่า วุฒิสภาเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการนิติบัญญัติของประเทศ และมีบทบาทสำคัญในการพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อบุคคลที่จะเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ ที่มีอำนาจหน้าที่สำคัญ
สังคมจึงมีความหวั่นเกรงว่า ในสถานการณ์ที่ที่มาของ สว. ซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องลงมติและให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญดังกล่าวยังมีความคลุมเครือ มีข้อกล่าวหาทางคดีความ และอยู่ระหว่างการสอบสวน การปฏิบัติหน้าที่ของ สว. กลุ่มนี้ในช่วงเวลานี้ อาจจะกลายเป็นปัญหา หรือส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความน่าเชื่อถือและการยอมรับในภายหลังได้
ดังนั้น เสียงเรียกร้องให้ผู้ถูกกล่าวหาชะลอการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง หรืออย่างน้อยที่สุด ควรชะลอการพิจารณาหรือการประชุมลงมติในเรื่องสำคัญๆ ออกไปก่อนในระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด จึงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง