ข่าวเศร้าสำหรับแฟนบอล ‘ลา ซามพ์’ ทั่วโลก เมื่อสโมสรฟุตบอลซามพ์โดเรีย อดีตยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูกหนังอิตาลี ยืนยันการตกชั้นสู่ลีกระดับสามอย่าง เซเรีย ซี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจบเกม เซเรีย บี นัดสุดท้ายของฤดูกาล ด้วยการบุกไปเสมอกับ ยูเว่ สตาเบีย 0-0 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผลเสมอในนัดสุดท้ายทำให้ซามพ์โดเรียจบฤดูกาลใน เซเรีย บี ด้วยอันดับที่ 18 ของตาราง มีเพียง 41 คะแนนจาก 38 นัด ซึ่งเป็นอันดับที่อยู่ในโซนตกชั้น ส่งผลให้ต้องหล่นไปเล่นใน เซเรีย ซี ในฤดูกาลหน้า การตกชั้นในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 78 ปีของสโมสร นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1946 ที่ซามพ์โดเรียต้องลงไปเล่นในลีกระดับที่สาม โดยทีมที่ตกชั้นไปพร้อมกับซามพ์โดเรียคือ ซิตตาเดลา และ โคเซนซา

การตกชั้นครั้งนี้สร้างความเสียใจอย่างยิ่งให้กับแฟนบอล โดยเฉพาะเมื่อย้อนมองกลับไปถึงยุคที่ซามพ์โดเรียเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรรษ 1990 พวกเขาคือหนึ่งในทีมชั้นนำของอิตาลีและยุโรป เคยคว้าแชมป์ เซเรีย อา ฤดูกาล 1990/1991 ซึ่งถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของสโมสร ในยุคนั้น ซามพ์โดเรียมีขุมกำลังนักเตะระดับตำนานมากมาย อาทิ จานลูกา วิอัลลี, โรแบร์โต มันชินี, อัตติลิโอ ลอมบาร์โด และ จานลูกา ปายูกา

นอกจากความสำเร็จในลีกแล้ว ซามพ์โดเรียยังเคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่าง ยูโรเปี้ยน คัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) ในปี 1992 แต่ต้องพ่ายให้กับยอดทีมอย่าง บาร์เซโลนา ไปอย่างเฉียดฉิว 0-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ในขณะที่ซามพ์โดเรียต้องพบกับความผิดหวัง ทีมในกลุ่มบนของ เซเรีย บี อย่าง ซาสซูโอโล่ ก็สามารถคว้าแชมป์และได้ตั๋วเลื่อนชั้นกลับสู่ เซเรีย อา ได้สำเร็จ เช่นเดียวกับ ปิซ่า ที่คว้าตำแหน่งรองแชมป์และได้สิทธิ์เลื่อนชั้นอัตโนมัติ

การตกชั้นสู่ เซเรีย ซี ครั้งแรกในรอบเกือบ 80 ปี ถือเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของสโมสรซามพ์โดเรีย ว่าจะสามารถลุกขึ้นมายืนหยัดและกลับคืนสู่เส้นทางที่เคยรุ่งโรจน์ได้อีกครั้งหรือไม่ แฟนบอลลา ซามพ์ ทั่วโลกคงได้แต่หวังว่านี่จะเป็นเพียงช่วงเวลาที่ยากลำบากและสโมสรจะสามารถกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมในอนาคตอันใกล้