นายกฯ ผนึกกำลังรัฐ-เอกชนครั้งใหญ่! เร่งช่วยชาวสวนผลไม้ สู้ผลผลิตล้นตลาด ดันยอดขายใน-ต่างประเทศพุ่ง

กรุงเทพฯ – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าของมาตรการสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยรัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาผลผลิตล้นตลาด โดยเฉพาะมะม่วง มังคุด เงาะ และทุเรียน จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นแม่งานหลักในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเร่งระบายผลไม้ภายในประเทศและผลักดันการส่งออกอย่างเป็นระบบ

การขับเคลื่อนมาตรการนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมจากภาคเอกชนถึง 9 กลุ่ม รวม 27 ราย โดยมียอดรับซื้อผลไม้รวมปริมาณสูงถึง 103,760 ตัน ซึ่งพันธมิตรภาคเอกชนรายสำคัญ อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ค้า-ส่งออกผลไม้ไทย รวมถึงบริษัทเอกชนรายใหญ่ เช่น บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด ได้ร่วมรับซื้อผลไม้รวมปริมาณกว่า 55,500 ตัน

นอกจากนี้ ห้างค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ได้ร่วมรับซื้อผลไม้กว่า 34,450 ตัน ขณะที่ปั๊มน้ำมัน ตู้เต่าบิน ไปรษณีย์ไทย หน่วยงานภาครัฐ และมูลนิธิต่างๆ ก็มีส่วนร่วมในการรับซื้ออีกรวม 13,810 ตัน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณพันธมิตรภาคเอกชนทุกรายที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ในปีนี้อย่างแข็งขัน

นอกจากการรับซื้อตรง รัฐบาลยังเดินหน้ากระตุ้นการบริโภคผลไม้ในประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและยกระดับราคาผลไม้ให้เหมาะสมตลอดฤดูกาล โดยมีการรณรงค์บริโภคผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย โดยใช้ KOL (Key Opinion Leader) ผู้มีชื่อเสียงในการขยายฐานผู้บริโภค รวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การประกวดเมนูอาหารจากผลไม้สดและนวัตกรรม และงาน Thai Fruits Festival กิจกรรมเหล่านี้คาดว่าจะช่วยระบายผลไม้ในประเทศได้อีกกว่า 346,500 ตัน จากเป้าหมายการระบายในประเทศรวม 730,000 ตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ที่ตั้งเป้าหมายรวมไว้ที่ 950,000 ตัน

ในส่วนของตลาดต่างประเทศ รัฐบาลได้วางเป้าหมายการส่งออกผลไม้ในปี 2568 ไว้ที่ปริมาณ 4.13 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 120,000 ตัน หรือเติบโต 3% และมีมูลค่า 8,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 170 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเติบโต 2% โดยให้ความสำคัญกับตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน

มาตรการเชิงรุกสำหรับตลาดส่งออก ได้แก่ การสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพผลผลิต โดยเร่งผลักดันการตรวจรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) และตั้งศูนย์ “Set Zero” เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผลไม้ไทย นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง War Room เพื่อขับเคลื่อนการส่งออกอย่างเร่งด่วน และจัดชุดเฉพาะกิจเจรจากับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน

ข่าวดีล่าสุดจากตลาดจีนคือ สำนักงานศุลกากรจีน (GACC) ได้ประกาศลดระดับการสุ่มตรวจสาร BY2 สำหรับทุเรียนไทยที่มีระบบจัดการที่ดี มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพทุเรียนไทย

สำหรับการเจาะตลาดต่างประเทศอื่นๆ รัฐบาลวางกลยุทธ์เจาะ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มตลาดศักยภาพ 7 ประเทศ (ฮ่องกง มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร) กลุ่มตลาดส่งเสริมภาพลักษณ์ 2 ภูมิภาค (ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้) และกลุ่มตลาดที่สะดวกต่อการขนส่ง 4 ประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งสามารถขยายการส่งออกผ่านระบบโลจิสติกส์ที่มีต้นทุนต่ำได้

นอกจากนี้ ภาครัฐยังคงเดินหน้าส่งเสริมการขายผลไม้ไทยในต่างประเทศ ผ่านการร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (Trade Fairs) และกิจกรรมส่งเสริมการขายในต่างประเทศ (Trade Promotion) เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและขยายตลาดผลไม้ไทยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ผลไม้ไทยเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นเอกลักษณ์ รัฐบาลพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้มาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ซึ่งประกอบด้วย 7 มาตรการ 25 แผนงาน เพื่อให้เกษตรกรไทยได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมและมีความมั่นคงในอาชีพอย่างยั่งยืน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *