กรุงเทพฯ – ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ออกมาแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล โดยเรียกร้องให้เร่งรัดการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเสนอแนวคิดการจัดเก็บ ‘ภาษีที่ดิน’ จากพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ต้องการให้รัฐบาลพิจารณาปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมองถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเสนอให้ปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณจากมาตรการที่เน้นการแจกเงิน ซึ่งส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจจำกัด ไปสู่โครงการอื่นๆ ที่มีผลกระทบกว้างขวางกว่า

ในระยะสั้น นายสุนทรเสนอให้รัฐบาลนำมาตรการร่วมจ่าย (co-payment) กลับมาพิจารณา และออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ เช่น การจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (soft loans) รวมถึงการเร่งรัดการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจไปยังหัวเมืองและจังหวัดอื่นๆ

นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากแผนของรัฐบาลที่จะปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้แล้ว ยังเสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดเก็บภาษีที่เรียกว่า ‘windfall tax’ หรือภาษีกำไรพิเศษ

โดยมีแนวคิดที่จะเก็บภาษีจากที่ดินที่ตั้งอยู่ตามแนวเส้นทางโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลลงทุน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ ทางพิเศษ หรือสนามบิน ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้ทำให้มูลค่าที่ดินในบริเวณดังกล่าวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด การจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้เพิ่มเติมของภาครัฐ นอกเหนือจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่นๆ

นายสุนทรยังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผลักดันการออกกฎหมายสิทธิในทรัพย์สิน และขยายระยะเวลาการเช่าจากเดิม 30 ปี เป็นสูงสุด 60 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาการถือครองอสังหาริมทรัพย์แทนคนต่างด้าว (Nominee) ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ข้อเสนอแนะเหล่านี้จากภาคเอกชนด้านอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการให้ภาครัฐมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างตรงจุด และสร้างแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนจากการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูและเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว