พาณิชย์เร่งเครื่อง FTA ไทย-บังกลาเทศ ชี้ช่องตลาดฮาลาลขนาดใหญ่ 170 ล้านคน ดันการค้าโต
พาณิชย์เร่งเครื่อง FTA ไทย-บังกลาเทศ ชี้ช่องตลาดฮาลาลขนาดใหญ่ 170 ล้านคน ดันการค้าโต
กรุงเทพฯ – นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการหารือกับนายฟัยยาซ มูรชิด กาซี เอกอัครราชทูตบังกลาเทศประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ณ กระทรวงพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยและบังกลาเทศ ให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
รัฐมนตรีพิชัย กล่าวว่า การหารือครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงร่วมกันในการเริ่มกระบวนการเจรจา FTA ไปแล้ว โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศเร่งหารือผ่านระบบออนไลน์ เพื่อกำหนดขอบเขตและประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะสามารถเปิดการเจรจารอบแรกได้อย่างเป็นทางการภายในปี 2568 นี้
นอกเหนือจากการเจรจา FTA ทวิภาคี ไทยยังแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนบังกลาเทศในฐานะประธานกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการอ่าวมลายู (บิมสเทค) ในช่วงปี 2568–2569 เพื่อรื้อฟื้นและเร่งรัดการเจรจา FTA ของบิมสเทคให้มีความคืบหน้าตามเจตนารมณ์ของปฏิญญาผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 และวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 ที่เพิ่งให้การรับรองไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
โอกาสนี้ ไทยยังได้เสนอให้บังกลาเทศพิจารณาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย–บังกลาเทศ ครั้งที่ 6 ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการทบทวนและกำหนดทิศทางความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนความร่วมมือในประเด็นอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และยังเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้เวทีดังกล่าวในการประกาศเปิดการเจรจา FTA ไทย-บังกลาเทศอย่างเป็นทางการต่อประชาคมระหว่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของตลาดบังกลาเทศ ซึ่งมีประชากรกว่า 170 ล้านคน มากเป็นอันดับ 8 ของโลก และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าประทับใจ เฉลี่ยประมาณ 6% ต่อปี นอกจากนี้ บังกลาเทศยังเป็นตลาดฮาลาลขนาดใหญ่ เนื่องจากมีประชากรมุสลิมมากเป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าและบริการฮาลาลไปยังตลาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น บังกลาเทศยังเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าในหลายหมวดหมู่ ทำให้เป็นตลาดที่มีความต้องการสูงและเป็นโอกาสทองของสินค้าไทย
ในการหารือ ยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันในเวทีระหว่างประเทศที่สำคัญ อาทิ บิมสเทค และองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางการค้าของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงทางทะเลระหว่างท่าเรือระนองของไทย และท่าเรือจิตตะกองของบังกลาเทศ ผ่านกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลของบิมสเทค ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ
ปัจจุบัน บังกลาเทศถือเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ รองจากประเทศอินเดีย โดยข้อมูลในปี 2567 แสดงให้เห็นว่า มูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศสูงถึง 1,130.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปบังกลาเทศ มูลค่า 1,045.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ปูนซีเมนต์ เม็ดพลาสติก ผ้าผืน เส้นใยประดิษฐ์ และเคมีภัณฑ์ ในขณะที่ไทยนำเข้าจากบังกลาเทศ มูลค่า 84.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าหลัก ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ สัตว์น้ำ และเครื่องมือแพทย์ ซึ่งทำให้ไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับบังกลาเทศถึง 960.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การเร่งรัด FTA จึงเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งนี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ในตลาดที่มีศักยภาพสูงต่อไป