ประธาน กกต. ย้ำแผน ‘ไฟดับไฟส่อง’ ช่วงนับคะแนน ใช้มือถือส่องหีบ ป้องกันครหา ‘ไร้คนแตะต้อง’ ในเสี้ยววินาที
ประธาน กกต. ย้ำแผน ‘ไฟดับไฟส่อง’ ช่วงนับคะแนน ใช้มือถือส่องหีบ ป้องกันครหา ‘ไร้คนแตะต้อง’ ในเสี้ยววินาที
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความพร้อมและการจัดการการเลือกตั้งที่จะมาถึง โดยเน้นย้ำถึงมาตรการป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสำคัญคือการนับคะแนน
นายอิทธิพร กล่าวถึงกรณีการป้องกันปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมฝ่ายปกครอง นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรประจำจังหวัด และทีม กกต. จังหวัด รวมถึงหน่วยบริหารในพื้นที่ ในการตั้งด่านตรวจดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติที่ กกต. เชื่อว่าทุกจังหวัดจะนำไปใช้เช่นเดียวกัน เพื่อติดตามและดูแลสถานการณ์อย่างเต็มที่ เหมือนที่ได้ปฏิบัติมาหลายครั้งแล้ว ทั้งในการเลือกตั้ง สส. และการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นสำคัญที่อาจสร้างปัญหาคือขั้นตอนการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีสภาพอากาศแปรปรวน เช่น พายุฝน ซึ่งในการเลือกตั้งทุกครั้ง กกต. ได้กำชับกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) เป็นพิเศษอยู่แล้วว่า ในช่วงที่นับคะแนนนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการร้องเรียนที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น การขานคะแนนไม่ชัดเจน ไม่ได้ยิน หรือไฟไม่สว่างเพียงพอ
นายอิทธิพร ย้ำว่า ได้เน้นย้ำมาโดยตลอดให้มีการขานคะแนนอย่างช้าๆ ชัดๆ และในกรณีที่เกิดฝนตก จะต้องขานด้วยเสียงที่ดังขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้ที่มาสังเกตการณ์การนับคะแนนได้ยินอย่างชัดเจนว่า บัตรที่กำลังขานนั้นเป็นบัตรดี บัตรเสีย หรือคะแนนหมายเลขใด เพราะหากขานไม่ชัดเจนอาจนำไปสู่ความสงสัยและทำให้กระบวนการนับคะแนนไม่ราบรื่นได้
นอกจากนี้ สิ่งที่ กกต. ให้ความสำคัญอย่างมากคือ แผนเผชิญเหตุสำหรับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น กรณีไฟดับกะทันหัน ซึ่งนายอิทธิพร กล่าวว่า หน่วยเลือกตั้งจะต้องมีแผนรองรับ เช่น การเตรียมอุปกรณ์ให้แสงสว่างสำรองไว้ทันที โดยเฉพาะการใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือที่เตรียมไว้ ส่องไปยังหีบบัตรเลือกตั้งและบัตรที่ยังไม่ได้นับ เพื่อป้องกันข้อครหาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไฟดับว่า ไม่มีบุคคลใดไปแตะต้องหีบและบัตรเลือกตั้งในเสี้ยววินาทีนั้น การเตรียมการนี้มีขึ้นเพื่อยืนยันถึงความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการนับคะแนน
เมื่อถามถึงจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ ประธาน กกต. แสดงความหวังว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิสูงกว่าครั้งที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 66.86% โดยตั้งเป้าไว้ที่ 70% เนื่องจากมองเห็นความคึกคักในการรณรงค์และการเตรียมการ ซึ่งอาจมากกว่าการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ผ่านมาด้วยซ้ำไป แม้ตัวเลขเฉลี่ยแต่ละจังหวัดอาจไม่เท่ากัน ดังเช่นครั้งก่อนที่จังหวัดพัทลุงมีผู้มาใช้สิทธิสูงถึง 80% จึงต้องรอดูว่าการรณรงค์ครั้งนี้จะกระตุ้นให้ผู้มีสิทธิออกมาใช้สิทธิได้มากน้อยเพียงใด เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นนั้น กกต. เน้นย้ำมาตลอดว่าเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยและเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง
นายอิทธิพร กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับผู้ที่ไม่สามารถมาใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ขอให้รีบดำเนินการแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิภายในระยะเวลา 7 วันหลังจากวันเลือกตั้ง โดยสามารถแจ้งได้หลายช่องทางที่สะดวกที่สุดคือผ่านแอปพลิเคชัน Smart Vote หรือทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต. นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางไปแจ้งด้วยตนเองที่สำนักทะเบียนท้องถิ่นทุกแห่ง หรือที่สำนักงาน กกต. ก็ได้
การแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิมีความสำคัญ เนื่องจากหากไม่ดำเนินการแจ้งเหตุ อาจส่งผลให้ถูกจำกัดสิทธิทางการเมืองบางประการ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นในอนาคต เพราะเมื่อมีการตรวจสอบประวัติผู้สมัคร หากพบว่าไม่ได้แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อาจทำให้ขาดคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดได้