มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยสำรวจเปิดเทอม 2568 เงินสะพัดกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท สวนทางผู้ปกครองกว่า 30% ยังประสบปัญหาค่าใช้จ่าย

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมปีการศึกษา 2568 พบเงินสะพัดสูงถึง 62,614 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่เพิ่มขึ้น และความสำคัญที่ผู้ปกครองให้กับการศึกษาบุตรหลาน แต่ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองกว่า 30% ยังคงประสบปัญหาทางการเงิน

ผลสำรวจซึ่งสอบถามกลุ่มตัวอย่างผู้ปกครอง 1,250 คนทั่วประเทศ พบว่า ยอดรวมค่าใช้จ่ายรับเปิดเทอมในปี 2568 นี้ สูงถึง 62,614 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของการสำรวจ แสดงให้เห็นถึงภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องแบกรับ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินสะพัดนี้มาพร้อมกับความกังวลของผู้ปกครอง จากผลสำรวจพบว่า เกือบ 67% ระบุว่ามีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายของบุตรหลานในช่วงเปิดเทอม แต่ที่น่าจับตาคืออีกประมาณ 33% หรือราว 1 ใน 3 ของผู้ปกครอง ยอมรับว่าเงินไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาของบุตรหลาน

เพื่อแก้ปัญหาเงินไม่พอ ผู้ปกครองกลุ่มนี้ต้องหันไปพึ่งพาทางเลือกต่างๆ ที่อาจสร้างภาระหนี้สินตามมา เช่น การนำทรัพย์สินไปจำนำ การกู้เงินในระบบ การผ่อนชำระค่าเทอม การเบิกเงินสดจากบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด การยืมเงินจากญาติพี่น้อง การหารายได้เสริม หรือแม้กระทั่งการกู้เงินนอกระบบ ซึ่งเป็นทางเลือกที่อันตรายและเสี่ยงต่อปัญหาหนี้สินระยะยาว และในกรณีเลวร้ายที่สุด คือการที่บุตรหลานอาจต้องพักการเรียนชั่วคราว

ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันยังคงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา โดยผู้ปกครองกว่า 56.6% ระบุว่าเศรษฐกิจมีผลกระทบอย่างมาก ทำให้กว่า 93% มองว่ากองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยังคงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ปกครอง ภาครัฐได้มีการออกมาตรการช่วยเหลือในช่วงเปิดเทอม โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก และแพลตฟอร์มออนไลน์ จัดโครงการลดราคาสินค้าที่จำเป็นสำหรับนักเรียน เช่น ชุดนักเรียน รองเท้า กระเป๋า เครื่องเขียน และอุปกรณ์การเรียนอื่นๆ โดยลดสูงสุดถึง 30-50%

นอกจากนี้ ธนาคารออมสินยังได้ออกมาตรการสินเชื่อสำหรับผู้ปกครองโดยเฉพาะ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำในระบบ ทางเลือกแทนหนี้นอกระบบ โดยเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่เพียง 0.60% ต่อเดือน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี (12 งวด) มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนไทยสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาเนื่องจากปัญหาทางการเงิน

ในตอนท้ายของผลสำรวจ ผู้ปกครองได้ให้ข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลเพื่อการพัฒนาการศึกษาไทยในหลากหลายมิติ เช่น การปรับปรุงระบบประเมินผลนักเรียนให้วัดผลรอบด้าน ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเพื่อให้โรงเรียนมีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้ขาดแคลน พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมระดับสากล ปรับรูปแบบการสอนให้น่าสนใจยิ่งขึ้น และเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการศึกษา

ข้อเสนอแนะเหล่านี้หลายข้อสอดคล้องกับนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงไว้ ทั้งในส่วนของการพัฒนาการศึกษาทั้งในและนอกระบบ การนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนการเรียนรู้ และการลดภาระความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแปรเปลี่ยนนโยบายเหล่านี้ให้เป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและเห็นผลโดยเร็ว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการศึกษาของเด็กไทยต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *