กะเหรี่ยงตีฐานทัพเมียนมาแตก ยึดคืนพื้นที่! ออกแถลงการณ์ถึงชาวไทย ย้ำชัดเป็นมิตรตลอดกาล

กาญจนบุรี, ไทย – รายงานล่าสุดจากแนวชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณใกล้เคียงช่องทางบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าสถานการณ์การสู้รบระหว่างกองกำลังกะเหรี่ยง (KNLA) สังกัดสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และกองทัพเมียนมา (SAC) ที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ในพื้นที่บ้านแม่น้ำธิทะ กิ่ง อ.เมตตา จ.ทวาย

แหล่งข่าวระบุว่า การสู้รบในครั้งนี้มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง มีการใช้อาวุธหนักและโดรนโจมตี ส่งผลให้ทหารเมียนมาได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็มีรายงานผู้เสียชีวิตที่เป็นประชาชนพลเรือนบางส่วน และอีกจำนวนมากต้องอพยพหนีภัยเข้ามาในประเทศไทย

ล่าสุด มีรายงานว่า กองกำลังทหารเมียนมาในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งประสบปัญหาการขาดแคลนเสบียงอย่างหนักและมีกำลังพลบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ได้ตัดสินใจยกธงขาว ยอมจำนนต่อกองกำลังกะเหรี่ยงแล้ว

ภายหลังชัยชนะครั้งนี้ กองกำลังกะเหรี่ยง (KNU) ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการถึงประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน เพื่อชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแสดงจุดยืน ดังนี้

1. ชี้แจงว่าพื้นที่เขตมะริด/ทวาย ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การยึดครองของกองทัพเมียนมานั้น ทำให้เกิดการสู้รบและการพลัดถิ่นของประชาชน การที่กองพลน้อยที่สี่ของ KNU ตัดสินใจเข้ายึดฐานทัพคืน ก็เพื่อสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งในฝั่งเมียนมาและฝั่งไทย

2. ยืนยันว่าปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ต่อสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) มีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยประชาชน ให้มีสิทธิ์กำหนดชะตากรรมของตนเอง และให้พ้นจากการกดขี่ทารุณของกองทัพเมียนมา

3. แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนทั้งของกะเหรี่ยงและของไทย โดยอ้างถึงรายงานข่าวเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ระบุว่ารัฐบาลทหารเมียนมามีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาด 110 เมกะวัตต์ ด้วยเทคโนโลยีจากรัสเซีย โดยมีพื้นที่เสนอสร้าง 2 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองทวาย ซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนประเทศไทย

4. ระบุว่า กำลังพิจารณาอย่างจริงจังถึงผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางทหาร และได้ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวต่อประเทศไทย

5. เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีที่กองกำลังกะเหรี่ยงมีต่อชาวไทย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พร้อมให้คำมั่นว่าจะยังคงรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและเคารพซึ่งกันและกันในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อไปในอนาคต และยืนยันจุดยืนในการยึดมั่นหลักการความสัมพันธ์อย่างสงบสุขและความร่วมมือกับประเทศไทยตลอดไป โดยหวังว่าประชาชนชาวไทยจะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สงบในเมียนมาที่ยังคงส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายแดน และความพยายามของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ในการต่อสู้เพื่อการปกครองตนเองและความปลอดภัยของประชาชน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *