ไทยออยล์ กำไรพุ่ง 3.5 พันล้านบาท ไตรมาส 1/68 รับอานิสงส์สต็อกน้ำมัน ชี้แนวโน้ม Q2 ชะลอ ก่อนฟื้นครึ่งปีหลัง
ไทยออยล์ (TOP) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิถึง 3,504 ล้านบาท พลิกฟื้นจากไตรมาสก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลักมาจากกำไรจากการสต็อกน้ำมัน แม้บางธุรกิจจะเผชิญความท้าทาย ด้านผู้บริหารประเมินแนวโน้มไตรมาส 2 คาดอ่อนตัวลง ก่อนที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มไทยออยล์ในไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 3,504 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นถึง 737 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้น มาจากผลกำไรจากการบริหารจัดการสต็อกน้ำมัน ซึ่งมีจำนวน 1,080 ล้านบาท แตกต่างอย่างชัดเจนจากไตรมาสก่อนหน้าที่รับรู้ผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันถึง 2,010 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกำไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้จำนวน 174 ล้านบาทเข้ามาหนุนอีกด้วย
ในส่วนของผลการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจ พบว่า ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดมีกำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น แรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์มีกำไรขั้นต้นปรับลดลง เนื่องจากส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 แคบลง อันเป็นผลจากอุปทานสารเบนซีนโลกที่เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ในจีน และระดับสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่มีกำไรขั้นต้นลดลง จากส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและยางมะตอยกับน้ำมันเตาที่ลดลง ประกอบกับต้นทุนพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำที่สูงขึ้น
ภาพรวมแล้ว กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ในไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามัน อยู่ที่ 6.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 1.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายบัณฑิต กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจโรงกลั่นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 ว่า คาดการณ์ว่าค่าการกลั่นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เนื่องจากราคาพรีเมียมของน้ำมันดิบ (Crude Premium) ยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวด ประกอบกับตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่อาจชะลอตัวลง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
สำหรับราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 ก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเช่นกัน ปัจจัยกดดันมาจากความกังวลต่ออุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่อาจอ่อนแรงลงจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ และการคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากการที่กลุ่ม OPEC+ มีแผนปรับเพิ่มกำลังการผลิตตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 2 ได้
อย่างไรก็ตาม นายบัณฑิตคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ค่าการกลั่นมีแนวโน้มที่จะกลับมาปรับตัวดีขึ้นได้ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินที่คาดว่าจะสูงขึ้นตามปัจจัยทางฤดูกาลขับขี่ ประกอบกับ Crude Premium มีแนวโน้มที่จะปรับลดลง
ไทยออยล์ยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด และพร้อมขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทางกลยุทธ์ที่วางไว้ในทุกมิติ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้สถานการณ์ตลาดที่มีความท้าทาย พร้อมทั้งยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป