การบินไทย กำไร Q1/2568 พุ่งกว่า 300% ทะลุ 9.8 พันล้านบาท เตรียมบินกลับเข้าตลาดหุ้น SET ก.ค.-ส.ค. นี้

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งข่าวดี รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 9,839 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 306% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำความสำเร็จของการฟื้นฟูกิจการ พร้อมเตรียมยื่นเรื่องขอพ้นแผนฟื้นฟูฯ และคาดว่าจะกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้อีกครั้งในเร็วๆ นี้

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม 2568) การบินไทยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดีต่อผลประกอบการ ได้แก่ การขยายฝูงบินและการเพิ่มความถี่เที่ยวบิน ทำให้ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 21.1% และปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 20.8% โดยมีจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 4.33 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.6% และมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยสูงถึง 83.3% ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน แม้จะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นมากก็ตาม

ด้านค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 37,964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% ตามปริมาณการให้บริการที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าต้นทุนราคาน้ำมันจะปรับลดลง 1.7% จากปีก่อนก็ตาม ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) แข็งแกร่งถึง 13,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,586 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร (EBIT Margin) สูงถึง 26.5%

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานบัญชี TFRS 9 จำนวน 3,481 ล้านบาท และขาดทุนจากรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิ 339 ล้านบาท แต่ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง บริษัทฯ จึงมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 สูงถึง 9,839 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 306% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมี EBITDA หลังหักค่าใช้จ่ายจากสัญญาเช่าเครื่องบินรวมสูงถึง 12,728 ล้านบาท

ณ สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2568 การบินไทยมีฝูงบินรวมทั้งสิ้น 78 ลำ เพิ่มขึ้น 5 ลำจากปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 13.7 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนรับมอบเครื่องบินแบบ Airbus A321 Neo เพิ่มเติม และกำลังทยอยติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครื่องบินแบบ A330-300 พร้อมให้บริการ Wi-Fi ฟรีแก่สมาชิก Royal Orchid Plus

ในด้านฐานะทางการเงิน บริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 มีสินทรัพย์รวม 297,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% โดยมีเงินสดและหลักทรัพย์ระยะสั้นสูงถึง 124,847 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินรวมลดลง 1.9% เหลือ 242,314 ล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 21.6% เป็น 55,439 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียง 4.37 เท่า จาก 20.66 เท่า ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้แผนฟื้นฟูฯ

ก่อนหน้านี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 บริษัทฯ ได้ดำเนินการลดมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นจาก 10 บาท เหลือ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสม ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสะสมตามงบการเงินเฉพาะกิจการจำนวน 9,555 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่เปิดทางสู่การพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตได้

การบินไทยยังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเลิกกิจการสายการบินไทยสมายล์ และรับโอนเครื่องบิน Airbus A320 ทั้งหมดเข้ามาบริหารจัดการภายใต้การบินไทย ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเปลี่ยนเส้นทางบินที่เคยขาดทุนให้กลับมามีกำไรได้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 การบินไทยได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางขอเลิกแผนฟื้นฟูกิจการ หลังจากดำเนินการตามแผนฟื้นฟูฯ ได้สำเร็จลุล่วงครบถ้วนแล้ว โดยศาลได้กำหนดนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น.

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวปิดท้ายว่า หากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งคาดว่าจะมีคำสั่งออกมาในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายน 2568 จะมีผลให้หน้าที่ของผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ สิ้นสุดลง และจะมีการโอนอำนาจให้คณะกรรมการบริษัทฯ ชุดใหม่ดำเนินการต่อไป จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้บริษัทฯ สามารถนำหุ้นกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถกลับมาซื้อขายได้ในช่วงครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม หรือต้นเดือนสิงหาคม 2568 นี้.