ทียู โชว์ผลงาน Q1/68 กำไรสุทธิโต 9% เตรียมรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’ สำรองสินค้าทั่วโลก 4-6 เดือน

กรุงเทพฯ, 9 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู เผยผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2568 ทำยอดขายได้ 29,789 ล้านบาท พร้อมกำไรสุทธิเติบโต 9% สะท้อนการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและประเด็นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้น

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะยังคงมีความท้าทาย แต่ไทยยูเนี่ยนยังคงมุ่งมั่นในการปรับโครงสร้างและยกระดับขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยผลประกอบการในไตรมาสแรกนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าการวางรากฐานที่แข็งแกร่งกำลังเริ่มให้ผลตอบแทน และจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรในระยะยาวภายใต้ Strategy 2030 ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล

สำหรับผลการดำเนินงานแยกตามกลุ่มธุรกิจ:

  • กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง: ยังคงเติบโตต่อเนื่อง มียอดขาย 4,174 ล้านบาท ขยายตัว 5.5% จากปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง 24.5%
  • กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป: มียอดขาย 14,762 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณความต้องการในตะวันออกกลางที่เคยสูงมากในปีก่อน และยอดขายผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต (Private Label) ในยุโรปที่ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อจากราคาปลาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มนี้ยังคงทำได้ดีที่ 19.4%
  • กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง: มียอดขาย 8,441 ล้านบาท ลดลง 12.2% จากปีก่อน เป็นผลจากราคากุ้งในสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นทำให้ยอดขายชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังคงสามารถบริหารจัดการอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น อยู่ที่ 12.4% เทียบกับ 11.8% ในปีก่อน
  • กลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ: ทำยอดขายได้ 2,412 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน

ในภาพรวม ทียูมียอดขายรวม 29,789 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวสู่ 18.8% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดสำหรับไตรมาสแรก แสดงถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง กำไรสุทธิที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,019 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ดีที่ 1.0 เท่า ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงิน

ประเด็นสำคัญที่ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญคือการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาอาจปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า โดยนายธีรพงศ์เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมการเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางภาษีไว้แล้ว และได้ดำเนินการสำรองสินค้าทุกประเภทในสหรัฐอเมริกาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้มีปริมาณสินค้าเพียงพอสำหรับการขายประมาณ 4-6 เดือน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในระยะสั้น

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังคงใช้ประโยชน์จากการมีฐานการผลิตและแหล่งวัตถุดิบทั่วโลกกว่า 15 แห่งใน 13 ประเทศ เช่น กานา เซเชลส์ โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ

ในด้านความน่าเชื่อถือ ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ จาก Japan Credit Rating (JCR) ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความแข็งแกร่งของบริษัทในระดับสากล

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *