ทัพภาค 2 ลุย ‘อุดรอยรั่วชาติ’ สกัดภัยเงียบ ยาเสพติด-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทะลักชายแดนอีสาน ยึดของกลาง 6.5 พันล้าน
ในวันที่ประเทศไม่ได้เผชิญสงครามรูปแบบดั้งเดิม แต่ประเทศไทยกำลังถูกคุกคามจากภัยรูปแบบใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่ตามแนวชายแดนอย่างเงียบๆ ทั้งขบวนการค้ายาเสพติด การลักลอบเข้าเมือง ของเถื่อน รวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และนี่คือภารกิจสำคัญที่ กองทัพภาคที่ 2 หรือที่ขนานนามว่า “กำแพงเหล็กแห่งอีสาน” กำลังทุ่มเทปฏิบัติการ “อุดรอยรั่วชาติ” อยู่เบื้องหลัง โดยมี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นหัวหอกสำคัญ
เส้นทางยานรกจากสามเหลี่ยมทองคำ สู่ชายแดนอีสาน
การลักลอบลำเลียงยาเสพติดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตามด่านทางบกอีกต่อไป แต่แม่น้ำโขงที่ทอดยาวกว่า 1,000 กิโลเมตร ได้กลายเป็นเส้นทางขนส่งหลักที่สะดวกต่อเครือข่ายยาเสพติด โดยเฉพาะบริเวณรอยต่อชายแดน 3 ประเทศ ไทย-พม่า-ลาว แม้ก่อนหน้านี้ภาคเหนือจะเป็นจุดลักลอบหลัก แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นร่องเขาและเดินทางลำบาก ทำให้เส้นทางการขนยาเสพติดบางส่วนเปลี่ยนเป้าหมายมายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นทางลำเลียง สามารถขนยาขึ้นฝั่งไทยได้จากหลายจุด ทำให้ยาเสพติดทะลักเข้าสู่ชายแดนภาคอีสานมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่จึงเป็นภารกิจหลักของหน่วย นบ.ยส.24 (หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดที่ 24) ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพภาคที่ 2 เพื่อจัดการกับภัยคุกคามอันดับหนึ่งนี้ โดยมีพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัดชายแดนภาคอีสาน ได้แก่ นครพนม, เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, มุกดาหาร, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
การทำงานของกองทัพภาคที่ 2 และหน่วย นบ.ยส.24 เน้นการทำงานเชิงรุก มีทั้งการบุกจับ สกัดกั้น ประสานงานด้านข่าวกรองกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว รวมถึงได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน ทำให้ทหารสามารถรับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของขบวนการผิดกฎหมาย นำมาสู่การจับกุมของผิดกฎหมายได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง สินค้าหนีภาษี การลักรถข้ามแดน ไปจนถึงสิ่งผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ยอดจับกุมทะลุ 95 ล้านเม็ด และภัยคุกคามไซเบอร์
ข้อมูลจากหน่วย นบ.ยส.24 เผยให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการจับยึดยาบ้าไปแล้วกว่า 95 ล้านเม็ด และยาไอซ์ราว 3,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6,500 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแค่อาชญากรรมทางกายภาพ กองทัพภาคที่ 2 ยังต้องรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่าง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ใช้ช่องทางออนไลน์หลอกลวงดูดเงินจากประชาชนชาวไทย แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ประกาศอย่างชัดเจนว่า “นี่คือภัยมั่นคงที่ต้องจัดการให้สิ้นซาก” โดยเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นน้ำ แม้ต้นตอปัญหาจะอยู่นอกพรมแดนไทย แต่กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าจะไม่มีอะไรเกินความพยายาม พร้อมประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน จับตาทุกความเคลื่อนไหว และสกัดกั้นตั้งแต่แนวชายแดน
เสริมภารกิจช่วยเหลือประชาชนและปกป้องอธิปไตย
ท่ามกลางการต่อสู้กับภัยเงียบ กองทัพภาคที่ 2 ยังคงปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่า ทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและจิตอาสาในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
สำหรับกระแสข่าวที่ประชาชนบางส่วนติดตามว่าจะเกิดความขัดแย้งระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาหรือไม่นั้น กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพบก ยืนยันว่าทหารมีความพร้อม และจะไม่ยอมให้กองกำลังใดๆ ล่วงล้ำอธิปไตยไทยโดยเด็ดขาด แม้จะไม่ต้องการให้เกิดการสู้รบ แต่ก็พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งจากหน่วยเหนือ และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของทหาร
“ภารกิจในการปกป้องพี่น้องประชาชน และสร้างความมั่นคงให้ชาติ ไม่มีวันหมดหน้าที่ของทหาร” แม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำคำนี้ด้วยความมุ่งมั่น เพราะสงครามนี้ แม้ไม่มีเสียงปืน แต่มีเดิมพันคือ “ความมั่นคงของชาติ” นั่นเอง