ภาครัฐ-เอกชนผนึกกำลัง ลงนาม MOU บริหารจัดการน้ำ สร้างความมั่นคงสู่เศรษฐกิจยั่งยืน
ภาครัฐ-เอกชนผนึกกำลัง ลงนาม MOU บริหารจัดการน้ำ สร้างความมั่นคงสู่เศรษฐกิจยั่งยืน
กรุงเทพฯ – หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำของไทยร่วมแสดงเจตนารมณ์อันแข็งแกร่งในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการและยั่งยืน เมื่อวันนี้ (8 พฤษภาคม 2568) ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางน้ำให้กับประเทศ
พิธีลงนามครั้งนี้มีผู้แทนระดับสูงจากหลากหลายหน่วยงานเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง นำโดย นายวิทยา แก้วมี รองอธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงภาคเอกชนที่สำคัญอย่างสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทยและพันธมิตร และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การรวมตัวของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักร่วมกันถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำต่อการพัฒนาประเทศ
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ การสร้างสมดุลระหว่างความต้องการใช้ (อุปสงค์) และปริมาณน้ำที่มีอยู่ (อุปทาน) ในทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการขยายผลโครงการต้นแบบด้านการบริหารจัดการน้ำที่ประสบความสำเร็จ และส่งเสริมองค์ความรู้ นวัตกรรม ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประโยชน์สูงสุด
ความร่วมมือภายใต้ MOU นี้ จะช่วยบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ตั้งแต่การวางแผน การพัฒนา การบำรุงรักษา ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม ได้อย่างทั่วถึง เพียงพอ และมีความต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การลงนาม MOU ในวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคต ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้งหรืออุทกภัย และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ โดยใช้องค์ความรู้และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันคือ การมีน้ำเพียงพอสำหรับทุกคนและทุกภาคส่วน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย