อ่ำ อัมรินทร์ เปิดใจจุดต่ำสุดชีวิต ‘ป่วยหนัก-ขายสมบัติ’ เกือบไม่รอด…พลิกฟื้นด้วยธรรมะ ในรายการ LifeLine
อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน ศิลปินและนักแสดงชื่อดัง ได้มาเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตในหลากหลายมิติที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ในรายการใหม่ “LifeLine” ทางช่อง LIFE DOT ดำเนินรายการโดย ก้อง อรรฆรัตน์ นิติพน โดยประเดิมเทปแรกด้วยเรื่องราวชีวิตสุดพลิกผันของเขา ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็ก การเข้าสู่วงการ จนถึงจุดต่ำสุดที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด
คุณอ่ำเริ่มต้นเล่าถึงวัยเรียนที่เขาภูมิใจกับการเป็นนักกีฬาดาวรุ่ง โดยเฉพาะกอล์ฟ ได้เป็นเยาวชนทีมชาติไทยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ และเคยเป็นถึงแชมป์เยาวชนเอเชียในวัย 11 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกดีและภูมิใจในตัวเองอย่างมาก
แต่หลังจากนั้นชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นในอายุ 15 ปี เขายอมรับว่าเริ่ม “ใจแตก” แม้จะยังเป็นนักกีฬาอยู่ แต่เงินที่คุณพ่อให้สำหรับฝากธนาคาร เขาเอาไปปิดบัญชีเพื่อใช้เที่ยวเตร่ หลงระเริงไปกับแสงสี ดิสโก้เทคกลางคืน จนถึงขั้นขายไม้กอล์ฟคู่ใจ ซึ่งเปรียบเสมือน “อาวุธประจำกาย” ในการแข่งขัน เพื่อนำเงินไปเที่ยว ชีวิตเริ่มเหลวแหลก โดดเรียน ทำให้ไม่จบ ม.6 พร้อมเพื่อน ต้องกลับไปเรียนซ้ำ และไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนมหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา
จุดเริ่มต้นในวงการดนตรีมาจากความชื่นชอบและคุณพ่อที่เคยเป็นนักดนตรี เขาเข้าร่วมวงดนตรี และพยายามทำเพลงเสนอค่ายต่างๆ จนได้เซ็นสัญญากับแกรมมี่ ได้พบกับปูชนียบุคคลอย่าง พี่เต๋อ เรวัต ในวัย 25 ปี แม้ชุดแรกยอดขายจะไม่เป็นไปตามคาดหวัง แต่ก็ได้โอกาสทำชุดที่สองในแนวร็อคที่เขาถนัด ทำให้กราฟชีวิตพุ่งขึ้นสูง มีผลงานรวมกว่า 11 อัลบั้มในช่วงชีวิต 18-36 ปี ได้เจอสิ่งดีๆ และประสบความสำเร็จมากมาย
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จก็มาพร้อมกับความ “หลงระเริง” ในตัวเอง มีรายได้มากขึ้น เริ่มตามใจตัวเอง ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย โดยเฉพาะการดื่มหนัก ทั้งในการทัวร์คอนเสิร์ตและชีวิตส่วนตัว เริ่มเบี้ยวงาน ไม่รับผิดชอบ จนครั้งหนึ่งเกือบถูกยกเลิกการโปรโมทอัลบั้มและหมดอนาคตในวงการ เพราะไปดื่มจนพลาดคอนเสิร์ตสำคัญที่คุณฉอด สายทิพย์ จัดขึ้น ต้องไปขอโทษ และนั่นถือเป็นจุดตกต่ำครั้งหนึ่งในแง่พฤติกรรม
หลังจากนั้น ชีวิตเริ่มเข้าสู่จุดที่ต้องการความมั่นคง คุณพ่อแนะนำให้ปลูกบ้าน มีครอบครัว เขาจึงตัดสินใจแต่งงานในวัย 33 ปี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิต และการมีลูกสาว น้องแอลลี่ ยิ่งทำให้ชีวิตเขากลับมาอยู่ในลู่ในทาง ไม่ดื่ม ไม่ปาร์ตี้หนักเหมือนเดิม
แต่จุดต่ำสุดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเกิดขึ้นในวัย 47 ปี สุขภาพของเขาเริ่มย่ำแย่อย่างหนัก จากผลของการใช้ชีวิตที่ผ่านมา เขาป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ตัวเอง ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นโรครูมาตอยด์และกระดูกอักเสบรุนแรง ทำให้ปวดข้อ มือบวม เดินไม่ได้ ตัวแข็ง ขยับร่างกายไม่ได้ กล้ามเนื้อลีบ ผอมลงอย่างมาก มือบวมจนต้องเอาผ้าพันแผลพันไว้เพื่อปกปิดความอาย ไม่สามารถทำงานได้ ต้องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อประทังชีวิต เขาต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นถึง 3 ปี โดยไร้ความหวัง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซาก ร้องไห้สงสารตัวเอง
ในช่วงที่สิ้นหวังนั้น เขามีความคิดที่อาจถึงขั้นสุดท้าย แต่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะครอบครัวที่ยังคงมีความหวังในตัวเขา เขาจึงพยายามแข็งใจ เริ่มจากพยายามขยับร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่ได้ หาจุดยึดเหนี่ยว และได้พบกับ “ธรรมะ” เขามีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไปบวชถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 และเริ่มปฏิบัติตัวดี ยึดมั่นในศีล
คุณอ่ำทิ้งท้ายว่า การที่เขารอดตายและกลับมามีชีวิตได้ในวันนี้ ไม่ใช่เพราะสิ่งภายนอก แต่เป็นเพราะ “ตัวเอง” ที่ให้กำลังใจตัวเอง มีสิ่งที่ยึดมั่นที่ดีคือศีลที่คอยคุ้มครอง แม้ชีวิตจะมีช่วงผิดพลาด ผิดหวัง หรือสมหวัง ซึ่งเป็นเพียงชั่วขณะ แต่การกลับมาได้หลังสูญสิ้นทุกอย่างนั้น มาจาก “สติ” ที่กลับมาและตั้งใจทำสิ่งที่มันดีกับตัวเองก่อนที่จะไปคาดหวังความสำเร็จภายนอก ชีวิตมีทั้งขึ้นและลง มีทั้งบวกและลบ และทุกช่วงเวลานั้นหล่อหลอมให้เป็นตัวเราในวันนี้