ข่าวเศร้า ‘น้องมิ้น’ เหยื่อไฟดูดกลางน้ำท่วมสุราษฎร์ฯ จากไปอย่างสงบ หลังต่อสู้หลายวัน พ่อแม่ยังทำใจไม่ได้
จากเหตุการณ์ฝนตกหนักในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะบริเวณถนนสายบายพาสเลี่ยงเมือง ใกล้กับสี่แยกบางใหญ่ ที่มีปริมาณน้ำท่วมสูงกว่า 30 เซนติเมตร และพบปัญหาไฟฟ้ารั่วจากเสาไฟส่องสว่างกลางถนน ซึ่งนำมาสู่โศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ น.ส.มัณฑนา ผ่องผิว หรือ น้องมิ้น หญิงสาววัย 23 ปี ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทเอกชน กำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน เมื่อมาถึงจุดที่มีน้ำท่วมขัง รถจักรยานยนต์ของเธอได้เกิดเครื่องดับ ทำให้เธอต้องเดินเข็นรถผ่านบริเวณใกล้เคียงกับเสาไฟส่องสว่างกลางถนน และถูกกระแสไฟฟ้าดูดจนล้มคว่ำใบหน้าจมอยู่ในน้ำ สร้างความตกใจแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้เร่งเข้าให้การช่วยเหลือ แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากยังมีกระแสไฟฟ้ารั่วในบริเวณดังกล่าว ต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยใช้วิธีผูกเชือกแล้วลากร่างของน้องมิ้นออกมาจากจุดที่ไฟฟ้ารั่ว ก่อนจะเร่งทำซีพีอาร์ (CPR) หรือการปฐมพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตผู้ประสบเหตุที่ไม่รู้สึกตัว และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีในทันที เพื่อให้แพทย์ได้ทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา น้องมิ้นได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ท่ามกลางความหวังของครอบครัวและผู้ที่ทราบข่าว แต่ล่าสุดวันนี้ (8 พฤษภาคม 2568) ได้มีข่าวเศร้าแจ้งมาว่า น.ส.มัณฑนา ผ่องผิว หรือ น้องมิ้น ได้จากไปอย่างสงบแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 07.30 น. ที่ผ่านมา หลังมีอาการทรุดหนักลงอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับพ่อและแม่ของน้องมิ้น ซึ่งอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง โดยทั้งสองท่านเปิดเผยว่า ครอบครัวยังคงทำใจไม่ได้กับการสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักในครั้งนี้ และขณะนี้ยังไม่คิดถึงเรื่องอื่นใด ขอโฟกัสและจัดการเรื่องงานศพของน้องมิ้นให้เรียบร้อยก่อน โดยมีกำหนดจะเคลื่อนย้ายร่างของน้องมิ้นออกจากโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงบ่ายวันนี้ เวลาประมาณ 15.30 น.
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถือเป็นอุทาหรณ์เตือนใจถึงอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่วในช่วงที่เกิดน้ำท่วมขัง และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าในที่สาธารณะอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต