เคียฟ, ยูเครน – หน่วยงานความมั่นคงของยูเครนเปิดเผยความคืบหน้าครั้งสำคัญในการปราบปรามการทุจริตและขบวนการผิดกฎหมาย โดยสามารถทลายเครือข่ายรับจ้างพาพลเรือนเพศชายข้ามพรมแดนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารเข้าสู่สนามรบกับรัสเซีย

ปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ โดยหน่วยงานความมั่นคงยูเครนได้เข้าดำเนินการกับขบวนการที่ซับซ้อนนี้ ซึ่งพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาพัวพันด้วย โดยเรียกเก็บค่าบริการจากผู้ที่ต้องการหลบหนีสูงถึง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณกว่า 480,000 บาทต่อคน

ความเคลื่อนไหวนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างหนักของรัฐบาลยูเครนในการระดมกำลังพลเพื่อรับมือกับการรุกคืบของกองทัพรัสเซีย ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านการทหารหลายคนประเมินว่ายูเครนกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังทหารอย่างหนัก หลังจากสงครามยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี

จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน พบว่า ขบวนการผิดกฎหมายนี้ได้ให้ความช่วยเหลือชายชาวยูเครนที่อยู่ในเกณฑ์ต้องเข้ารับราชการทหาร หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วอย่างน้อยประมาณ 30 คน โดยใช้วิธีการปลอมแปลงเอกสารสำคัญ เพื่อให้บุคคลเหล่านี้มีสถานะเป็นผู้ทุพพลภาพ ซึ่งตามกฎหมายยูเครนแล้ว จะได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์ทหาร ทั้งนี้ กฎหมายของยูเครนในปัจจุบันได้ห้ามพลเมืองชายอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการระดมพล เดินทางออกนอกประเทศในช่วงภาวะสงคราม เว้นแต่จะมีเหตุอันควรตามที่กฎหมายกำหนด

การสืบสวนยังได้นำไปสู่การระบุตัวหัวหน้าขบวนการนี้ ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวยูเครนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในแคว้นซาการ์ปัจจา (Zakarpattia) ทางภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง โดยนักธุรกิจรายนี้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายอารักขาพรมแดนของยูเครนอีก 2 นาย ซึ่งมีส่วนรู้เห็นและอำนวยความสะดวกในการพาผู้คนข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ และพบหลักฐานสำคัญหลายรายการ รวมถึงธนบัตรสกุลเงินยูโรจำนวนมาก สมาร์ตโฟนหลายเครื่องซึ่งอาจใช้ในการติดต่อประสานงาน และรถยนต์หรูหลายคัน ซึ่งคาดว่าได้มาจากผลกำไรจากการประกอบอาชญากรรมนี้

แม้ว่าในช่วงเริ่มต้นของสงคราม จะมีชาวยูเครนจำนวนมากแสดงความรักชาติและอาสาสมัครเข้าร่วมรบเพื่อปกป้องประเทศจากการรุกรานของรัสเซีย แต่สถานการณ์ที่ยืดเยื้อและการสูญเสีย ทำให้ทางการยูเครนต้องพึ่งพาการเกณฑ์ทหารตามกฎหมาย ซึ่งบังคับให้ชายชาวยูเครนหลายแสนคนต้องเข้ารับราชการทหาร ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือไม่ก็ตาม

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการยูเครนเองก็เคยออกมายอมรับอย่างเปิดเผยว่า ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร (Draft Evasion) ซึ่งกำลังขยายตัวเป็นวงกว้างและสร้างความท้าทายในการรักษาจำนวนกำลังพลที่เพียงพอสำหรับแนวหน้า

การทลายขบวนการในครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความจริงจังของรัฐบาลในการจัดการกับการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวและสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงและอนาคตของประเทศในช่วงสงคราม