กรุงเทพฯ – กองทัพอากาศไทย (ทอ.) ได้เร่งส่งเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงแบบ F-16 จำนวน 2 ลำ ขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญในการพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย ซึ่งถูกตรวจจับได้โดยระบบเรดาร์ของกองทัพอากาศ บริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (6 พฤษภาคม 2568)

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 12.45 น. เมื่อระบบเรดาร์ของกองทัพอากาศได้ตรวจพบสัญญาณของอากาศยานที่มีทิศทางเคลื่อนเข้าใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และจำเป็นต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำทางอากาศอย่างเข้มงวด

พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยถึงรายละเอียดเบื้องต้นว่า หลังจากที่สัญญาณอากาศยานไม่ทราบฝ่ายปรากฏบนจอเรดาร์ ทางหน่วยควบคุมการบินสกัดกั้น (Air Intercept Control) ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวังและตอบสนองต่อการละเมิดน่านฟ้า ได้ออกคำสั่งให้เตรียมความพร้อมและส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นปฏิบัติภารกิจทันที

เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 Fighting Falcon จำนวน 2 เครื่อง จากฝูงบินประจำการที่กองบิน 4 อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการทางอากาศที่สำคัญ ได้รับคำสั่งให้บินขึ้น (scramble) เมื่อเวลาประมาณ 12.45 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เป้าหมายบริเวณชายแดนกาญจนบุรีทันทีที่ได้รับแจ้ง

ภารกิจหลักของเครื่องบินขับไล่ F-16 ทั้งสองลำคือ การเข้าประชิดอากาศยานที่ตรวจพบ เพื่อทำการพิสูจน์ทราบว่าเป็นอากาศยานประเภทใด สัญชาติใด และมีวัตถุประสงค์ในการบินอย่างไร ก่อนจะดำเนินการตามมาตรการสกัดกั้นที่เหมาะสม หากพบว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยทางอากาศ หรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ

การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานการป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพอากาศ เพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในห้วงอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชายแดนที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน

พลอากาศโท ประภาส ย้ำว่า กองทัพอากาศให้ความสำคัญสูงสุดกับการป้องกันภัยทางอากาศ และมีการเฝ้าระวังน่านฟ้าไทยตลอด 24 ชั่วโมง การตอบสนองอย่างรวดเร็วในการส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นพิสูจน์ทราบและสกัดกั้น ถือเป็นการแสดงถึงความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการพิทักษ์อธิปไตยทางอากาศ

ขณะนี้ การปฏิบัติภารกิจของเครื่องบินขับไล่ F-16 ทั้งสองลำยังคงดำเนินอยู่ และกองทัพอากาศจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์เพื่อชี้แจงรายละเอียดและความคืบหน้าเพิ่มเติมให้สาธารณชนทราบต่อไป