ตู่ ปิยวดี – มาวิน เดือด! แจ้งความบริษัทเครื่องปั๊มนมดัง ใช้ภาพตัดต่อโฆษณา ไม่ขออนุญาต ทำเสียหาย กระทบงานพรีเซ็นเตอร์
ตู่ ปิยวดี – มาวิน เดือด! แจ้งความบริษัทเครื่องปั๊มนมดัง ใช้ภาพตัดต่อโฆษณา ไม่ขออนุญาต ทำเสียหาย กระทบงานพรีเซ็นเตอร์
กรุงเทพมหานคร – เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 คู่สามีภรรยาคนดังในวงการบันเทิงไทย นางสาวปิยวดี มาลีนนท์ ผู้จัดละครและนักแสดง และนายมาวิน ทวีผล นักแสดงและพิธีกร พร้อมด้วย ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล หรือทนายแก้ว ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ศุภธัช พุกเที่ยง รองสารวัตร(สอบสวน) ที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เพื่อดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทผู้จำหน่ายเครื่องปั๊มนมแบรนด์หนึ่ง หลังพบว่ามีการนำภาพถ่ายของทั้งสองคนไปใช้ในการประชาสัมพันธ์และโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต.
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่ได้เข้าเยี่ยมชมบูธของบริษัทเครื่องปั๊มนมแบรนด์หนึ่ง ภายในงาน Baby & kids best buy ต่อมาพบว่าภาพถ่ายขณะเยี่ยมชมบูธนั้นได้ถูกนำไปตัดต่อและใช้เป็นสื่อโฆษณาเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมบูธ พร้อมเสนอแจกคูปองส่วนลด ซึ่งภาพดังกล่าวถูกส่งไปประชาสัมพันธ์ในแฟนเพจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานแม่และเด็กจำนวนถึง 9 เพจ อาทิ เพจแม่รักลูก, เพจทีมคนท้อง และเพจสุธีรา เอื้อไพโรจน์ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนเป็นต้นมา.
นายมาวิน ทวีผล ได้เปิดเผยถึงความรู้สึกไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า การที่บริษัทนำรูปไปใช้โดยไม่ขออนุญาตนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แม้จะเป็นภาพที่ถ่ายจากการเข้าเยี่ยมชมบูธตามปกติ แต่การนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อการโฆษณา เชิญชวน และมอบส่วนลดคูปองนั้น ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์และสร้างความเสียหาย เนื่องจากทั้งคู่ โดยเฉพาะคุณปิยวดี มาลีนนท์ ได้รับงานเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเครื่องปั๊มนมแบรนด์ BRUSTA อยู่แล้ว การที่ภาพถูกนำไปใช้ในลักษณะนี้ ทำให้เหมือนกับว่าทั้งคู่ไปโปรโมทสินค้าของแบรนด์คู่แข่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการผิดสัญญาได้.
ด้าน ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล ทนายความ ได้กล่าวว่า วันนี้ได้พาคุณตู่ ปิยวดี และคุณมาวิน มาแจ้งความคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมาย เบื้องต้นได้ให้ปากคำชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว และประสงค์ดำเนินคดีกับบุคคลหรือบริษัทที่นำรูปของทั้งสองคนไปใช้โดยพลการ ส่วนข้อหาที่จะดำเนินคดีนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวนว่าเข้าข่ายความผิดฐานใดบ้าง ซึ่งอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท หรือความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิ์ในภาพลักษณ์.
เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้แก่ผู้ประกอบการในการใช้ภาพถ่ายของบุคคลสาธารณะหรือบุคคลทั่วไปในการประชาสัมพันธ์ ควรมีการขออนุญาตอย่างเป็นทางการก่อนเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและการละเมิดสิทธิ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมา.