พาณิชย์เผย ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เม.ย. 2568 ขยับขึ้น 0.8% รับอานิสงส์โครงการภาครัฐ

กรุงเทพฯ – กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างของไทย โดยในเดือนเมษายน 2568 ดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 113.1 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2567 พบว่าปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.8

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น มาจากความต้องการใช้วัสดุในการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ทั้งโครงการใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมถึงความต้องการในการซ่อมแซมอาคารและที่อยู่อาศัยที่มีมากขึ้น

เมื่อพิจารณารายหมวดวัสดุก่อสร้าง พบการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย:

  • หมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้: สูงขึ้นร้อยละ 0.9 โดยเฉพาะไม้พื้น ไม้แบบ วงกบประตูและหน้าต่าง ซึ่งเป็นผลจากความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ขยายตัว ประกอบกับต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันดีเซล
  • หมวดซีเมนต์: ปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 4.1 ทั้งปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ปูนซีเมนต์ผสม และปูนฉาบสำเร็จรูป สะท้อนถึงความต้องการใช้ในโครงการก่อสร้างภาครัฐและการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น
  • หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต: สูงขึ้นร้อยละ 1.1 เช่น เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง และคอนกรีตผสมเสร็จ โดยมีสาเหตุจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าขนส่ง (ราคาน้ำมันดีเซล) และราคาวัตถุดิบหลักอย่างปูนซีเมนต์และทราย
  • หมวดวัสดุฉาบผิว: สูงขึ้นร้อยละ 0.2 เช่น สีทาถนนชนิดสะท้อนแสง และน้ำมันเคลือบแข็ง เป็นผลจากความต้องการใช้ในงานก่อสร้างและซ่อมแซมถนนด้านคมนาคมของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น
  • หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา: สูงขึ้นร้อยละ 2.1 โดยเฉพาะสายไฟฟ้าและเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างทองแดงที่สูงขึ้น รวมถึงถังบำบัดน้ำเสียที่ราคาสูงขึ้นตามต้นทุนหัวเชื้อ ประกอบกับความต้องการใช้ในโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัว
  • หมวดวัสดุก่อสร้างอื่นๆ: มีการปรับขึ้นสูงที่สุดถึงร้อยละ 5.9 ได้แก่ ยางมะตอย และวัสดุธรรมชาติ เช่น หิน ดิน ทราย ซึ่งมีความต้องการใช้สูงในโครงการก่อสร้างด้านคมนาคมของภาครัฐ

ในทางกลับกัน มีวัสดุบางหมวดที่ราคาปรับลดลง:

  • หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก: ลดลงร้อยละ 2.6 โดยเฉพาะเหล็กเส้นชนิดต่างๆ เหล็กตัว H และท่อเหล็กดำ เนื่องจากมีปริมาณเหล็กในตลาดสูง และราคาวัตถุดิบต้นน้ำอย่างบิลเล็ตและเศษเหล็กลดลง
  • หมวดกระเบื้อง: ลดลงร้อยละ 1.2 ทั้งกระเบื้องคอนกรีตมุงหลังคา กระเบื้องเคลือบบุผนัง และกระเบื้องยาง PVC ปูพื้น เป็นผลจากความต้องการใช้ที่ลดลง ตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ประกอบกับอัตราหนี้เสียและหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
  • หมวดสุขภัณฑ์: ลดลงร้อยละ 1.7 เช่น โถส้วมชักโครก ฝักบัวอาบน้ำ และราวจับสแตนเลส สาเหตุคล้ายกับหมวดกระเบื้อง คือความต้องการใช้ลดลงตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อของผู้บริโภค

นายพูนพงษ์ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในเดือนพฤษภาคม 2568 ว่ามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน ปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่ภาครัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณตามเป้าหมาย ส่งผลให้การก่อสร้างของภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลออกมา เช่น การขยายเวลาลดค่าโอนและจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 และการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV รวมถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต คาดว่าจะช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวและมีความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *