365 วันอันตราย: เยาวชนไทยตายบนถนนพุ่ง! สสส.-ยท. ผนึก 20+ พันธมิตร เปิดโมเดล 5 มาตรการนำร่อง หวังลดสูญเสียเป็นศูนย์
กรุงเทพฯ – ตัวเลขน่าตกใจและน่าใจหาย ‘วันละ 48 ชีวิต’ คือสถิติผู้เสียชีวิตบนท้องถนนไทยในปี 2567 โดยกลุ่มวัย 15-19 ปี ยังคงเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุด ขณะที่อุบัติเหตุส่วนใหญ่ถึง 80% เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์ สะท้อนภาพวิกฤตความปลอดภัยที่ยังคงคุกคามชีวิตเด็กและเยาวชนไทยอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ณ โรงแรมปริ้นซ์ พาเลซ กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) ได้ผนึกกำลังร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 20 แห่ง จัดกิจกรรม “365 วันอันตราย: หยุดเด็กตายบนถนน” ขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการลดอัตราการเสียชีวิตของเยาวชนไทยบนท้องถนนให้เป็นศูนย์ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ทุกการเสียชีวิตบนท้องถนนสามารถป้องกันได้”
ภายในงานมีการเปิดตัวโมเดลต้นแบบ 5 มาตรการความปลอดภัยทางถนนที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานในพื้นที่นำร่องจังหวัดระยอง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 และเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดขอนแก่น และชลบุรี (พัทยา) ในปีนี้ พร้อมทั้งมีการแถลงผลการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาความร่วมมือจังหวัดต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน และมอบเกียรติบัตรให้กับหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมตลอดมา บรรยากาศเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับสังคมไทย
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจากระบบบูรณาการข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน หรือ “ข้อมูล 3 ฐาน” ยืนยันตัวเลขที่น่ากังวลว่า ในปี 2567 รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุมากที่สุดถึง 80% และกลุ่มวัย 15-19 ปี ซึ่งเป็นวัยมัธยมศึกษาถึงอุดมศึกษาตอนต้น มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุด สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การขับรถเร็ว การดื่มแล้วขับ รวมถึงสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ไม่ปลอดภัย และการขาดทักษะประสบการณ์ในการขับขี่ที่ถูกต้อง
“สสส. เล็งเห็นความสำคัญของการบูรณาการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันทั้งเก็บข้อมูล ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ และที่สำคัญคือการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย โดยเน้นที่สถานศึกษาซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะเยาวชน เราต้องเปลี่ยนมุมมองจากที่เคยมองว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องของโชคชะตา มาสู่การสร้างความตระหนักว่าทุกชีวิตบนถนนสามารถป้องกันได้ และต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้านความปลอดภัยให้กับเยาวชนตั้งแต่ในวัยเรียน” นพ.พงศ์เทพ กล่าวย้ำ
ด้าน นายรวิศุทธ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการในพื้นที่นำร่อง และได้เปิดเผย 5 มาตรการหลักที่ถอดบทเรียนได้จากจังหวัดระยอง ประกอบด้วย:
- ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
- ประกาศนโยบายสถานศึกษาปลอดภัยที่ชัดเจนและนำไปสู่การปฏิบัติจริง
- พัฒนาองค์ความรู้และทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัยผ่านหลักสูตรที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเยาวชน
- ส่งเสริมการทำใบอนุญาตขับขี่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อปลูกฝังความรู้และวินัยจราจรตั้งแต่ต้น
- สนับสนุนการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางกายภาพรอบสถานศึกษาให้มีความปลอดภัยสูงสุด
นายรวิศุทธ์ ยอมรับว่า การขยายโมเดลไปยังจังหวัดขอนแก่นและชลบุรีในปีนี้มีความท้าทายจากบริบทพื้นที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้ โครงการยังนำนวัตกรรม “กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วม” โดยให้เยาวชนในพื้นที่เป็นผู้เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่ตรงกับสภาพความเป็นจริง และนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือสร้างวินัยจราจรที่เหมาะสม
“สิ่งที่เรามุ่งหวัง ไม่ใช่เพียงแค่การลดจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนตามตัวเลข แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้หยั่งรากฝังลึกในจิตสำนึกของเยาวชน ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการสร้างสังคมไทยให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายรวิศุทธ์ กล่าวย้ำถึงเป้าหมายระยะยาว
แนวทางการขับเคลื่อน 5 มาตรการนี้ มีแผนที่จะขยายผลไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศในระยะต่อไป เพื่อให้ทุกสถานศึกษาเป็น “เขตปลอดภัย” สำหรับเด็กและเยาวชน พร้อมกับการสร้างเครือข่ายแกนนำเยาวชนด้านความปลอดภัยทางถนนในทุกภูมิภาค รวมถึงการส่งเสริมให้เยาวชนสร้างสรรค์สื่อรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนที่เข้าถึงเพื่อนวัยเดียวกัน ทั้งผ่านสื่อดั้งเดิมและแพลตฟอร์มดิจิทัลยอดนิยมอย่าง TikTok และสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ เพื่อให้ข้อความแห่งความปลอดภัยกระจายไปในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ