รองนายกฯ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เผชิญศึกรอบด้าน! ป.ป.ช.เรียกแจงปมถุงยังชีพน้ำท่วม พร้อมถูกร้องสอบคุณสมบัติถือหุ้นบริษัท
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังเผชิญกับประเด็นการตรวจสอบจากหลายฝ่ายพร้อมๆ กัน สร้างความจับตาให้กับแวดวงการเมือง
ประเด็นแรกเกิดขึ้นเมื่อนายสนธิญา สวัสดี ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งของนายพีระพันธุ์ กรณีที่ยังมีชื่อเป็นกรรมการและถือหุ้นในบริษัทเอกชนรวม 4 บริษัท ซึ่งนายสนธิญาอ้างว่า อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
อีกประเด็นที่ปรากฏขึ้นเกือบพร้อมกัน คือกรณีที่ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างการไต่สวนรัฐมนตรีรายหนึ่ง เกี่ยวกับการแจกถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยถุงยังชีพดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง แต่มีการติดสติกเกอร์ที่มีชื่อและใบหน้าของรัฐมนตรีไว้ที่ข้างถุง นอกจากนี้ยังมีข้าวสารส่วนตัวของรัฐมนตรีรวมอยู่ในถุงด้วย
ที่สำคัญ รัฐมนตรียังได้ลงพื้นที่ร่วมแจกถุงยังชีพดังกล่าวด้วยตนเอง ซึ่งมีภาพและคลิปวิดีโอเป็นหลักฐาน โดย ป.ป.ช. เห็นว่าข้อกล่าวหามีมูล และอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม
เบื้องต้น คณะไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้เชิญรัฐมนตรีรายดังกล่าวเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบสำนวน ก่อนที่จะสรุปสำนวนเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. อีกครั้ง หากพบว่ามีมูลความผิดตามที่ถูกกล่าวหาก็จะส่งสำนวนฟ้องคดีต่อศาลฎีกาต่อไป
ทางด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นเหล่านี้ โดยระบุว่า “ไม่มีปัญหา” และยืนยันว่า ป.ป.ช. ยังไม่ได้แจ้งมาอย่างเป็นทางการ แต่ตนเองทราบเรื่องแล้ว และมองว่าเรื่องดังกล่าวมีการกลั่นแกล้งมานานแล้ว เมื่อถูกถามว่าจะเดินทางไปตามที่ ป.ป.ช. เชิญในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้หรือไม่ นายพีระพันธุ์ตอบสั้นๆ ว่า “เขาเชิญเราก็ต้องไป”
ดังนั้น ต้องติดตามกันต่อไปว่าเมื่อนายพีระพันธุ์เข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว จะมีการชี้แจงเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองอย่างไร รวมถึงประเด็นการถือหุ้นในบริษัทเอกชนที่ไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช. หลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งอาจเข้าข่ายการจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จหรือไม่
จากสถานการณ์นี้ ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐมนตรีที่ถูกมองว่าเป็น “สายแข็ง” จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่ และประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการปรับคณะรัฐมนตรี หรือสถานการณ์ทางการเมืองในภาพรวมได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่คอการเมืองต้องจับตาอย่างใกล้ชิด