สปสช. สั่งเร่งสอบปมผู้ป่วย ‘บัตรทอง’ วัย 28 ปี เสียชีวิต เหตุ ‘ใบส่งตัว’ ล่าช้า ย้ำเยียวยาญาติทันทีตาม ม.41
กรุงเทพมหานคร – สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำลังเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท อายุ 28 ปี เสียชีวิต หลังจากที่ญาติผู้เสียชีวิตได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสายด่วน สปสช. 1330 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยระบุปัญหาเรื่องความล่าช้าในการขอใบส่งตัวเพื่อใช้สิทธิเข้ารับการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต.
นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล รองเลขาธิการ สปสช. เปิดเผยว่า ทันทีที่ได้รับเรื่องร้องเรียน สปสช. ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นายประเทือง เผ่าดิษฐ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. พร้อมเจ้าหน้าที่ สปสช. เขต 13 กทม. ได้ลงพื้นที่ไปยังคลินิกและโรงพยาบาลซึ่งเป็นหน่วยบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างละเอียด ก่อนที่จะดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานบริการว่า หน่วยบริการได้ให้บริการตามสัญญาและเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่ทำไว้กับ สปสช. หรือไม่.
นอกจากนี้ ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองโซนธนบุรีเหนือและโซนธนบุรีใต้ ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชน ยังได้เข้าพูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิต เพื่อชี้แจงแนวทางการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล โดย สปสช. จะเร่งดำเนินการในส่วนนี้โดยเร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อครอบครัว.
จากข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับจากญาติ ระบุว่าผู้ป่วยวัย 28 ปี ซึ่งมีสิทธิบัตรทองและขึ้นทะเบียนที่คลินิกเวชกรรมแห่งหนึ่งในเขตบางกอกใหญ่ และมีโรงพยาบาลในเขตบางคอแหลมเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อ ได้เข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉินที่โรงพยาบาลดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 และได้นอนพักดูอาการ 1 คืน ก่อนที่แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านในวันที่ 22 เมษายน 2568 พร้อมนัดให้มาติดตามอาการอีกครั้งในวันที่ 29 เมษายน 2568.
แต่เมื่อถึงวันนัดคือวันที่ 29 เมษายน ผู้ป่วยได้เดินทางไปโรงพยาบาล แต่กลับได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ให้กลับไปขอใบส่งตัวจากคลินิกหน่วยบริการปฐมภูมิตามสิทธิก่อน เพื่อใช้สิทธิบัตรทองในการเข้ารับการรักษา เมื่อผู้ป่วยเดินทางไปถึงคลินิกและแจ้งความจำนงขอใบส่งตัว เจ้าหน้าที่คลินิกแจ้งว่ายังไม่สามารถออกเอกสารให้ได้ทันที ต้องทำการเจาะเลือดและให้แพทย์คลินิกตรวจประเมินก่อน โดยให้รอฟังผลในเวลา 17.00 น. ในระหว่างที่รอผล ผู้ป่วยได้เดินทางกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าอาการได้ทรุดลงอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตในช่วงเวลาประมาณ 15.00–16.00 น. ของวันเดียวกัน.
นพ.วีระพันธ์ กล่าวย้ำว่า แม้จะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณภาพและมาตรฐานการบริการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการเร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ครอบครัวผู้ป่วยที่เสียชีวิต ตามมาตรา 41 ซึ่งกำหนดการช่วยเหลือไว้ใน 3 ประเภท ได้แก่:
– ประเภทที่ 1: เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร ช่วยเหลือตั้งแต่ 240,000 – 400,000 บาท
– ประเภทที่ 2: พิการ หรือ สูญเสียอวัยวะ ช่วยเหลือตั้งแต่ 100,000 – 240,000 บาท
– ประเภทที่ 3: บาดเจ็บ หรือ เจ็บป่วยต่อเนื่อง ช่วยเหลือไม่เกิน 100,000 บาท
สปสช. จะดำเนินการพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 41 นี้โดยเร็วที่สุด.