กกร. ยื่นหนังสือถึง “แพทองธาร” ค้านโครงสร้าง Pool Gas หวั่นซ้ำเติมอุตสาหกรรม แบกต้นทุนเพิ่ม 3 หมื่นล้านต่อปี

กกร. ยื่นหนังสือถึง “แพทองธาร” ค้านโครงสร้าง Pool Gas หวั่นซ้ำเติมอุตสาหกรรม แบกต้นทุนเพิ่ม 3 หมื่นล้านต่อปี

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตรียมเข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงการคัดค้านโครงสร้างราคาก๊าซ Pool Gas รูปแบบใหม่ ที่ กกร. มองว่าจะสร้างภาระต้นทุนให้ภาคอุตสาหกรรมขนาดกลางและใหญ่เพิ่มขึ้นกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดตัวของโรงงาน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร. เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (2 พฤษภาคม 2568) เวลา 10.30 น. ผู้แทน กกร. ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย จะเดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงจุดยืนและข้อเสนอแนะต่อกรณีโครงสร้างราคาก๊าซที่จำหน่ายให้แก่โรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และผู้ใช้ก๊าซอื่นๆ หรือที่เรียกว่า โครงสร้างราคา Pool Gas

กกร. มีความกังวลอย่างยิ่งว่า โครงสร้างราคา Pool Gas ดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน และจะยิ่งเพิ่มภาระต้นทุนอย่างมหาศาลให้กับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานจากส่วนผสมของก๊าซธรรมชาติ โดย นายเกรียงไกร ประเมินว่า ต้นทุนพลังงานของภาคอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นอีกถึง 60% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งภาระที่เพิ่มขึ้นนี้จะซ้ำเติมสถานการณ์ทางธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ผลิตสินค้าและส่งออกของไทย และอาจส่งผลให้โรงงานหลายแห่งต้องตัดสินใจปิดตัวลงในที่สุด

ปัญหาดังกล่าวถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กกร. จึงตัดสินใจเร่งยื่นหนังสือเพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนแนวทางดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ก่อนที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จะมีการประชุมและพิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ที่จะถึงนี้

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า การที่กระทรวงพลังงานมีนโยบายลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ กกร. มองว่าแนวทางที่ใช้ในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะการปรับโครงสร้าง Pool Gas นั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด แต่กลับเป็นการโยกย้ายภาระต้นทุนจากภาคส่วนหนึ่งมาสู่อีกภาคส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะการนำก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาใช้ผลิตไฟฟ้าเพื่อให้ต้นทุนถูกที่สุดนั้น เป็นวิธีคิดที่ผิด เนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีส่วนประกอบสำคัญในด้านปิโตรเคมี ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและนำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่าการนำมาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

กกร. ได้มีข้อเสนอต่อภาครัฐมาโดยตลอดถึงความจำเป็นในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน (กรอ.พลังงาน) เพื่อให้เป็นเวทีในการหารือและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงานที่ตรงจุดและรอบด้าน ซึ่ง กกร. ในฐานะผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ต้องประสบปัญหาด้านการแข่งขันโดยตรง ต้องการให้ภาครัฐเปิดเวทีหารือร่วมกับภาคเอกชนอย่างจริงจัง แทนที่จะใช้วิธีการที่ต่างฝ่ายต่างดำเนินการ ซึ่งนำไปสู่การคัดค้านดังเช่นกรณีนี้

ข้อเสนอแนะของ กกร. ต่อแนวทางแก้ปัญหาพลังงานอย่างยั่งยืน

ในการยื่นหนังสือครั้งนี้ กกร. ได้สรุปข้อเสนอแนะสำคัญเพื่อให้รัฐบาลพิจารณา ดังนี้

  1. ศึกษาโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ทั้งระบบ: ควรศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานอย่างรอบด้าน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุลตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของโครงสร้างพลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืน แทนที่จะแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
  2. กำหนดราคา Single Pool Gas และกลไกกำกับสำหรับอุตสาหกรรม: ราคาที่นำมาปรับใช้ ควรเริ่มต้นที่ราคา Single Pool Gas ซึ่งเป็นราคาเดียวกันสำหรับทุกภาคส่วน และควรกำหนดวิธีการกำกับราคาเพิ่มเติมสำหรับภาคอุตสาหกรรม เช่น กำหนดสูตรโครงสร้างราคาที่มีการควบคุมปริมาณการใช้ด้วย MDCQ (Maximum Daily Contract Quantity) โดยเฉพาะปริมาณที่ใช้เกินกว่า MDCQ ให้ใช้ราคา LNG นำเข้า เพื่อลดปริมาณการนำเข้า LNG หรือกำกับราคาแบบที่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ (Floor Price) ที่เหมาะสมในการซื้อขายก๊าซ
  3. สิทธิใช้ก๊าซอ่าวไทยที่เป็นธรรม: ภาคอุตสาหกรรมควรได้รับสิทธิในการใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นทรัพยากรภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนและทุกภาคส่วน
  4. ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง: รณรงค์ส่งเสริมการประหยัดพลังงานในวงกว้าง และให้ความช่วยเหลือประชาชนเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมถึงพิจารณาให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางด้วยวิธีการอื่นที่เหมาะสม แทนที่จะใช้วิธีการผลักภาระให้กับภาคใดภาคหนึ่งโดยเฉพาะ

การเข้ายื่นหนังสือในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความกังวลของภาคเอกชนต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และหวังว่านายกรัฐมนตรีจะรับฟังข้อกังวลและพิจารณาทบทวนเพื่อหาแนวทางที่สมดุลและเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *