กรุงเทพฯ – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยล่าสุด โดยแสดงความกังวลต่อปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ แม้จะประเมินว่าในไตรมาสแรกปี 2567 เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้ตามเป้าหมาย

ในการเปิดเผยภายหลังเข้าร่วมงานคล้ายวันสถาปนากระทรวงการคลัง ครบรอบ 150 ปี นายพิชัยกล่าวว่า เศรษฐกิจไทย หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 คาดการณ์ว่าจะสามารถขยายตัวได้มากกว่า 2.5% และมีโอกาสที่จะเติบโตได้ใกล้เคียงระดับ 3%

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่สร้างความไม่แน่นอนให้กับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คือ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่เสนอโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา การนำเรื่องนี้เข้ามาพิจารณาในการคำนวณของหลายหน่วยงาน ชี้ให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจมีผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกของไทย และอาจทำให้การเติบโตของจีดีพีไทยในปี 2567 ลดลงได้ตั้งแต่ 0.5% ถึง 1.5%

นายพิชัยเน้นย้ำว่า จำเป็นต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวจากทางสหรัฐอเมริกาก่อน จึงจะสามารถประเมินผลกระทบในภาพรวมได้อย่างแม่นยำ โดยส่วนตัวแล้วจะติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดในทุกไตรมาส

“ส่วนตัวผมคำนวนไตรมาส 1 ปีนี้ (2567) คาดว่าประมาณ 2.5% แน่นอน หรืออย่างน้อยน่าจะใกล้เคียงที่ 3%” นายพิชัย กล่าวพร้อมเสริมว่า หากไม่มีปัจจัยเรื่องมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ เข้ามากดดัน เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะสามารถเติบโตได้เกิน 3% อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากสหรัฐฯ เข้ามา ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็ต้องสะดุดลงจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้นนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบที่ชัดเจนได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 นี้ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งพิจารณาหามาตรการเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ ให้ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด พร้อมทั้งเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า เพื่อให้ประเทศไทยยังคงสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆ ได้

สำหรับตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1 ปี 2567 อย่างเป็นทางการนั้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จะเป็นผู้ประกาศในวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 นี้ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป