เอสซีจี กำไร 1.1 พันล้านบาท ไตรมาสแรกปี 68 ชูกลยุทธ์ 4 ด้าน รับมือเศรษฐกิจโลกชะลอตัว-สงครามการค้า

เอสซีจี กำไร 1.1 พันล้านบาท ไตรมาสแรกปี 68 ชูกลยุทธ์ 4 ด้าน รับมือเศรษฐกิจโลกชะลอตัว-สงครามการค้า

กรุงเทพฯ 15 พฤษภาคม 2568 – นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี (SCG) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,099 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายธรรมศักดิ์กล่าวว่า ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการปรับตัวของทุกกลุ่มธุรกิจ ภายใต้มาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการลดต้นทุนการผลิตและการบริหารจัดการ ขณะเดียวกันยังสามารถขยายตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของแต่ละกลุ่มธุรกิจ พบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปูนซีเมนต์และการก่อสร้างมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามปัจจัยทางฤดูกาลก่อสร้างและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ต่อเนื่อง ธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนและปรับพอร์ตสินค้า ส่วนธุรกิจเอสซีจีพี (SCGP) ยังคงแสดงความแข็งแกร่ง รองรับอุปสงค์ผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียนได้เป็นอย่างดี พร้อมเสริมพอร์ตสินค้าสำหรับผู้บริโภคและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

จากการบริหารจัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างรอบคอบ ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2568 เอสซีจีมีกระแสเงินสดก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงถึง 12,889 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจเพื่อรักษาศักยภาพการแข่งขันได้เป็นอย่างดีท่ามกลางความท้าทายต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เอสซีจียังคงเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ผลกระทบจากสงครามการค้าโลก แม้ผลกระทบโดยตรงต่อเอสซีจีในปัจจุบันจะมีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 2567 เอสซีจีมีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพียง 1% ของยอดขายรวม แต่ผลกระทบทางอ้อมอาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้ากับประเทศที่เกินดุลการค้า ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ที่อาจถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงถึง 36% ตามประกาศของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568

นายธรรมศักดิ์แสดงความกังวลว่า หากนโยบายการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง การส่งออกระหว่างประเทศจะยากลำบากขึ้น และอาจเกิดการทะลักของสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทย ทำให้การแข่งขันในประเทศทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

แม้สงครามการค้าจะสร้างแรงกดดันทั่วโลก แต่เอสซีจียังมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ เช่น แนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ปัญหาการจัดหาวัตถุดิบสำหรับผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีน และตลาดยังคงมีความต้องการสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High-Value Added Products – HVA Products) สินค้ากรีน (Green Products) และสินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ (Quality Affordable Products)

เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะชะลอตัวรุนแรงขึ้น เอสซีจีจึงได้ยกระดับการปรับตัวให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่:

  1. ลดต้นทุน: เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก
  2. ขยายพอร์ตสินค้า: ให้ครอบคลุมความต้องการของตลาดทุกระดับ ทั้งสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง สินค้ากรีน และสินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้
  3. บุกตลาดใหม่: เน้นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
  4. สร้างความได้เปรียบด้านฐานการผลิต: ใช้ประโยชน์จากการมีฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียนเพื่อการส่งออก

นายธรรมศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วย 4 กลยุทธ์หลักนี้ ควบคู่ไปกับมาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและได้ผล เอสซีจีจึงมั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถฝ่าความท้าทายจากสงครามการค้าโลกและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวไปได้อย่างทันท่วงที

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *