ปปช.ชี้มูล ‘อดีต ผอ.สพป.ตรัง’ ผิดจริง! ใช้รถหลวง 3 ปี เบิกค่าน้ำมัน 2 แสน ส่งฟันคดีอาญา-วินัยร้ายแรง

ปปช. มีมติชี้มูลความผิด อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 กรณีนำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้เสมือนรถประจำตำแหน่งนาน 3 ปี พร้อมเบิกค่าน้ำมันรวมกว่า 2.1 แสนบาท ชี้มีมูลความผิดทั้งทางอาญาและวินัยร้ายแรง เตรียมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีและผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดพังงา ในโอกาสที่มีการแถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 8 และ ภาค 9 โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ป.ป.ช. เข้าร่วม

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาแถลง คือ กรณีตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง ได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหา นายประจักษ์ (สงวนนามสกุล) อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 จังหวัดตรัง ซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว ในพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่านำรถยนต์ส่วนกลาง ทะเบียน ตรัง ไปใช้ในการปฏิบัติราชการในตำแหน่งหน้าที่ รวมถึงใช้เดินทางไป-กลับ ระหว่างที่พักกับสำนักงาน เสมือนว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง

จากการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. พบว่า นายประจักษ์ ได้นำรถยนต์ส่วนกลาง ยี่ห้อ Isuzu รุ่น MU-7 ซึ่งเป็นรถยนต์ของทางราชการ ไปใช้ในการเดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านพักของตนเองซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง โดยระยะทางไป-กลับในแต่ละครั้งคาดการณ์ประมาณ 60 กิโลเมตร การใช้รถในลักษณะนี้กระทำต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่นายประจักษ์ ดำรงตำแหน่ง

นอกจากนี้ ยังพบว่า นายประจักษ์ ได้อนุญาตให้นำรถคันดังกล่าวไปเก็บรักษาที่อื่น ทั้งที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 มีสถานที่เก็บรักษารถที่ปลอดภัยและเพียงพออยู่แล้ว และในการใช้รถยนต์ส่วนกลางภายในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง ปรากฏว่าไม่มีการขอใบอนุญาตใช้รถตามระเบียบของทางราชการแต่อย่างใด ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาของการใช้รถคันดังกล่าว ได้มีการเบิกจ่ายเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากงบประมาณของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 ในทุกครั้งของการใช้รถ คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 217,817.80 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า การกระทำของนายประจักษ์ มีมูลความผิดอย่างชัดเจน โดยวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ มาตรา 157 ประกอบมาตรา 90 และมาตรา 91 นอกจากนี้ ยังเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172

ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำดังกล่าวยังถือว่ามีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่ไม่ควรได้ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผนของทางราชการและหน่วยการศึกษา ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 84 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง

ขั้นตอนต่อไป สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง จะดำเนินการส่งรายงานการไต่สวน สำนวนคดี เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย พร้อมสำเนาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และจะส่งสำนวนการไต่สวนและเอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาของนายประจักษ์ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในส่วนของโทษทางวินัยต่อไป.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *