ผู้นำฝ่ายค้าน ‘ณัฐพงษ์’ เสนอ 5 ยุทธศาสตร์คู่ขนาน รับมือสงครามการค้าสหรัฐฯ หวั่นไทยช้า เสียเปรียบหลายด้าน
กรุงเทพฯ – เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่โรงแรมโนโวเทล แพลตตินัม ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร โครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชน ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “แนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2568 รับมือกำแพงภาษีและสงครามการค้า”
ในการเสวนาดังกล่าว นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Re-positioning Thailand: วางตำแหน่งใหม่เศรษฐกิจไทยในสงครามการค้า” โดยเน้นย้ำว่า หน้าที่ของ สส. ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาล รวมถึงภาคประชาชนและภาคเอกชน คือการส่งข้อเสนอแนะที่ดีที่สุดไปยัง “ทีมไทยแลนด์” หรือคณะผู้แทนเจรจาของประเทศไทย เพื่อนำไปเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา และในเวทีระหว่างประเทศอื่น ๆ ให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุด
นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียที่หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย เวียดนาม ได้เริ่มดำเนินการเจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นมาตรการภาษีไปแล้ว ซึ่งแม้บางประเทศจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ก็มีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้เท่าที่ควร ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเสียเปรียบในหลายด้าน หากคู่ค้าอื่น ๆ บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ก่อน อำนาจต่อรองของไทยก็จะลดน้อยลง
ผู้นำฝ่ายค้านได้กล่าวถึงฉากทัศน์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดหากไม่มีการเตรียมรับมือ คือ การเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ ไม่สำเร็จ ไทยยังคงถูกตั้งกำแพงภาษีสูง ตลาดโลกปั่นป่วน สินค้าล้นทะลักเข้าไทย เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยหดตัว สถานะทางการคลังของรัฐบาลแย่ลง และอาจเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นอีกครั้ง
นายณัฐพงษ์ ชี้ว่า การวางตำแหน่งประเทศไทยใหม่ในระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ต้องเปลี่ยนมุมมองว่าไทยไม่ใช่แค่ประเทศขนาดเล็กที่ต้องไหลตามกระแสโลก แต่เป็นประเทศขนาดกลางที่มีศักยภาพในการกำหนดทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ของตนเองได้ โดยใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์กลางของอาเซียน และเสนอแนวคิดให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนา “อาเซียนสมาร์ทกริด” (ASEAN Smart Grid) ร่วมกับประเทศในกลุ่มลุ่มน้ำโขงและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว นายณัฐพงษ์ ได้เสนอ “ยุทธศาสตร์ 5 เสา” ที่สามารถดำเนินการควบคู่กันไปได้ทันที โดยไม่ต้องรอผลการเจรจา ประกอบด้วย:
- การเจรจา (Negotiation): เจรจาตรงกับสหรัฐฯ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของไทย เช่น การนำเข้าสินค้าต้องไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และไม่ก่อให้เกิดการกีดกันทางการค้าต่อไทยจากประเทศคู่ค้าอื่น ๆ
- การกระชับความสัมพันธ์ (Strengthening Relationships): สร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับประเทศต่าง ๆ ในเวทีโลก มุ่งเน้นการค้าที่เป็นธรรม และเปลี่ยนจากการแข่งขันเป็นการเป็นหุ้นส่วนพัฒนาประเทศร่วมกัน โดยพิจารณาถึงกรอบห่วงโซ่อุปทาน สังคมวัฒนธรรม และภูมิรัฐศาสตร์
- การรับมือ (Coping): เตรียมมาตรการป้องกันหากเกิดกรณีสินค้าล้นทะลักเข้าไทย เช่น การป้องกันสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย การกำกับดูแลความเป็นธรรมระหว่างผู้ผลิตในประเทศและต่างประเทศ และการควบคุมมาตรฐานสินค้า
- การเยียวยา (Remediation): ออกแบบมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนซัพพลายเชนโลก เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากขึ้นแบ่งปันเพื่อเยียวยาผู้ที่เสียประโยชน์
- การลงทุน (Investment): กำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ห่วงโซ่อุปทานโลก และสังคมวัฒนธรรมใหม่ เพื่อให้ไทยสามารถเติบโตและมีบทบาทในระเบียบโลกใหม่
นายณัฐพงษ์ ทิ้งท้ายว่า ยุทธศาสตร์ 5 เสานี้จะเป็นกรอบให้ “ทีมไทยแลนด์” ทุกภาคส่วนสามารถทำงานร่วมกันและดำเนินการไปพร้อมกัน เพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดภายใต้สถานการณ์สงครามการค้าโลกและการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่.