บีโอไอเผยยอดลงทุน Q1/68 ทะลุ 4.3 แสนล้าน พุ่ง 97% เอฟดีไอแรง ฮ่องกงขึ้นแท่นเบอร์ 1
กรุงเทพฯ – วันที่ 30 เมษายน 2568 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก
ในไตรมาสแรก (มกราคม – มีนาคม 2568) มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 822 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20% และมีมูลค่าเงินลงทุนรวมสูงถึง 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 97% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทย
สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับความสนใจสูง และมีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด ได้แก่
- กลุ่มดิจิทัล มูลค่า 94,735 ล้านบาท (40 โครงการ)
- กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 87,814 ล้านบาท (122 โครงการ)
- กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 23,499 ล้านบาท (72 โครงการ)
- กลุ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มูลค่า 17,517 ล้านบาท (102 โครงการ)
นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เกษตรและแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยว และการแพทย์ ซึ่งล้วนมีมูลค่าการลงทุนที่น่าพอใจ
ในส่วนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง มีจำนวนโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 618 โครงการ เพิ่มขึ้น 43% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 267,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 62%
ประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 10 อันดับแรก นำโดย ฮ่องกง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 135,159 ล้านบาท ตามมาด้วย จีน (47,308 ล้านบาท), สิงคโปร์ (38,075 ล้านบาท), ญี่ปุ่น (25,111 ล้านบาท), ไต้หวัน (4,756 ล้านบาท), เนเธอร์แลนด์ (2,142 ล้านบาท), มาเลเซีย (1,919 ล้านบาท), ไอร์แลนด์ (1,628 ล้านบาท), ฝรั่งเศส (1,531 ล้านบาท) และนอร์เวย์ (1,418 ล้านบาท)
ด้านการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนในไตรมาสแรกปี 2568 มีจำนวน 776 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 582,225 ล้านบาท โดยโครงการเหล่านี้คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล เช่น การใช้วัตถุดิบในประเทศมูลค่าประมาณ 1.9 แสนล้านบาทต่อปี การจ้างงานคนไทยประมาณ 60,000 ตำแหน่ง และสร้างมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 3.9 แสนล้านบาทต่อปี
นายนฤตม์กล่าวว่า ตัวเลขสถิติการลงทุนในไตรมาสแรกยืนยันถึงโมเมนตัมที่ดีของการลงทุนในประเทศไทยที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน แต่ก็ยอมรับว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคต จากปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายภาษีของสหรัฐฯ การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจและการกีดกันทางเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจ รวมถึงการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน
“ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อคว้าโอกาสที่ดีที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งนี้” นายนฤตม์ย้ำ และเสริมว่า ขณะนี้บีโอไอกำลังหารือเพื่อปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และตอบโจทย์ทิศทางใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจไทย รวมถึงพิจารณามาตรการปกป้องอุตสาหกรรมบางประเภทที่ผู้ประกอบการไทยยังมีความเปราะบาง เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนที่จะเข้ามานั้นจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและคนไทยอย่างแท้จริง