ปากีสถานเตือน! อ้างอินเดียเตรียมเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารใน 24-36 ชั่วโมง หลังเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในแคชเมียร์

อิสลามาบัด, ปากีสถาน – เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา นายอัตเตาลเลาะห์ ตาราร์ รัฐมนตรีข้อมูลข่าวสารของประเทศปากีสถาน ได้ออกมากล่าวอ้างผ่านการโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X (หรือเดิมคือ Twitter) ในช่วงกลางดึก โดยไม่มีการเปิดเผยหลักฐานใด ๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างดังกล่าว ระบุว่าประเทศอินเดียกำลังเตรียมที่จะเปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีประเทศปากีสถาน ภายในระยะเวลา 1-2 วันนับจากนี้

นายตาราร์ ระบุในโพสต์ดังกล่าวอย่างเจาะจงว่า “ปากีสถานมีข้อมูลข่าวกรองที่เชื่อถือได้ว่าอินเดียตั้งใจจะดำเนินการทางทหารกับปากีสถานภายใน 24 ถึง 36 ชั่วโมงข้างหน้า”

ถ้อยแถลงที่สร้างความตกตะลึงนี้มีขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง โดยกลุ่มมือปืนได้ก่อเหตุสังหารนักท่องเที่ยวถึง 26 ราย ในเมืองปาฮาลกัม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่แคชเมียร์ฝั่งที่อินเดียควบคุม เหตุการณ์ดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจและโกรธแค้นอย่างกว้างขวางในประเทศอินเดีย

หลังจากเหตุโจมตีดังกล่าว อินเดียได้ออกมากล่าวหาโดยตรงว่าปากีสถานมีส่วนเกี่ยวข้องหรือให้การสนับสนุนกลุ่มที่ก่อเหตุ ในขณะที่ทางปากีสถานได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นอย่างแข็งขัน พร้อมทั้งเสนอให้มีการดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวโดยคณะบุคคลที่เป็นกลาง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม

เหตุโจมตีนักท่องเที่ยวในปาฮาลกัมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้สร้างความโกรธแค้นในอินเดียเป็นอย่างมาก และส่งผลให้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย กำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากสาธารณชนและฝ่ายต่าง ๆ ในประเทศ ให้ดำเนินการตอบโต้ด้วยกำลังทางทหารต่อปากีสถาน

พื้นที่แคชเมียร์ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งรุนแรงและเปราะบางที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยพื้นที่แห่งนี้ถูกแบ่งการควบคุมออกเป็นส่วน ๆ ระหว่างอินเดียและปากีสถาน แต่ทั้งสองประเทศต่างก็อ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่แคชเมียร์ทั้งหมด ซึ่งเป็นต้นตอของความตึงเครียดและการเผชิญหน้าทางทหารที่เกิดขึ้นเป็นระยะมาอย่างยาวนาน

ข้อกล่าวอ้างของรัฐมนตรีปากีสถานเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารที่ใกล้จะเกิดขึ้นของอินเดีย ยิ่งเพิ่มความร้อนแรงให้กับสถานการณ์ความตึงเครียดที่มีอยู่แล้วระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง อย่างไรก็ตาม การที่ปากีสถานไม่ได้เปิดเผยหลักฐานใด ๆ มาประกอบข้อกล่าวอ้างนี้ ทำให้หลายฝ่ายยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียใต้หรือไม่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *