ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด อดีตนายก อบต.สระขวัญ กับพวก คดีทุจริตเรียกเก็บเงิน 10% จากโบนัสเจ้าหน้าที่ปี 2555
ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัย อดีตนายก อบต.สระขวัญ จ.สระแก้ว พร้อมพวกอีก 2 ราย ในคดีทุจริตเรียกเก็บเงิน 10% จากเงินโบนัสประจำปีของเจ้าหน้าที่เมื่อปี 2555 เตรียมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้อง และดำเนินการทางวินัยต่อไป
วันที่ 29 เมษายน 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค 2 นายวัฒนชัย ส้มมี ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 2 ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 2 ได้แถลงถึงความคืบหน้ากรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีที่มีการร้องเรียนว่า นางบุญช่วย อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สระขวัญ จ.สระแก้ว กับเจ้าหน้าที่ใน อบต. อีก 2 คน ได้ร่วมกันเรียกเก็บเงินจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ จากเงินโบนัสประจำปี 2555 ของเจ้าหน้าที่และพนักงานส่วนท้องถิ่นในสังกัดทุกคน
นายวัฒนชัย กล่าวว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นางบุญช่วย อดีตนายก อบต.สระขวัญ กับพวก รวม 3 คน มีมูลความผิดตามที่ถูกร้องเรียนจริง
สำหรับ นางบุญช่วย นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่ามีมูลความผิดทางอาญา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
นอกจากนี้ ยังมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 103 และมาตรา 123/1 รวมถึงมีมูลความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าว มีมติให้ส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ต่อไป
ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 2 ราย ซึ่งมีบทบาทในการรวบรวมเงินโบนัสที่เรียกเก็บจากเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เพื่อนำส่งให้กับ นางบุญช่วย นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นผู้สนับสนุนหรือผู้ร่วมกระทำความผิด มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, มาตรา 157 และมาตรา 86 ฐานเป็นผู้ช่วยเหลือหรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด นอกจากนี้ ยังมีมูลความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 103 และฉบับ พ.ศ. 2561 มาตรา 192 เช่นเดียวกับ นางบุญช่วย และมีมติให้ส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไปเช่นกัน
นายวัฒนชัย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการส่งสำนวนการไต่สวน พร้อมมติชี้มูลความผิดดังกล่าว ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว เพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบต่อไป ขั้นตอนขณะนี้จึงอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ
ทั้งนี้ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานในคดีนี้ มีอัตราโทษทางอาญาสูง คือ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม ตามหลักกฎหมาย บุคคลทั้งสามยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดจากศาลยุติธรรม