ชีวิตสุดเวทนา แม่ลูก 4 สู้ไม่ถอย ลูกคนเล็กเจ้าชายนิทรา สามีติดคุก ลำบากไร้ที่พึ่ง วอนเมตตาช่วยเหลือ
บุรีรัมย์ – เรื่องราวสุดสะเทือนใจของครอบครัวหนึ่งในพื้นที่ชนบทจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อผู้เป็นแม่ต้องแบกภาระดูแลลูกน้อยที่พิการเจ้าชายนิทรา พร้อมลูกอีก 2 คนอย่างลำพัง หลังสามีซึ่งเป็นเสาหลักถูกจับติดคุกฐานลักทรัพย์ ทำให้ทั้ง 4 ชีวิตต้องอาศัยข้าวก้นบาตรพระประทังชีวิต ในสภาพที่ลำบากแสนสาหัสและไม่รู้ว่าจะพึ่งพาใครได้ วอนผู้ใจบุญยื่นมือช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านบ้านซับสมบูรณ์ ต.โนนดินแดง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ถึงความน่าเวทนาของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากถึงขีดสุด หลังจากผู้เป็นสามีต้องโทษติดคุก ทำให้ภรรยาต้องรับภาระดูแลลูกเล็กๆ เพียงลำพัง
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บ้านหลังดังกล่าว พบกับ น.ส.จิราภรณ์ ต้นแก้ว อายุ 36 ปี กำลังดูแลลูกชายคนเล็ก ด.ช.ธีราธร หรือน้องปลื้ม อายุ 5 ขวบ 5 เดือน ซึ่งป่วยพิการทางสมองและร่างกายอยู่ในภาวะเจ้าชายนิทรา ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย โดย น.ส.จิราภรณ์ ต้องดูแลน้องอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ทั้งเช็ดตัว ป้อนอาหารเหลวทางสายยาง ป้อนยา และใช้เครื่องพ่นยาหรือดูดเสมหะเมื่อน้องมีปัญหาในการหายใจ เพราะน้องมีความเสี่ยงที่จะชักและหยุดหายใจได้ตลอดเวลา ทำให้ผู้เป็นแม่ไม่สามารถออกไปหางานทำนอกบ้านได้เต็มที่
น.ส.จิราภรณ์ เล่าด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจว่า ก่อนหน้านี้สามียังพอออกรับจ้างทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวได้บ้าง แต่ตั้งแต่สามีถูกจับติดคุกเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ในคดีลักทรัพย์ โดยสามีได้ขโมยยางพาราของนายจ้างไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวและซื้ออุปกรณ์การเรียนให้ลูกๆ ชีวิตของเธอกับลูกๆ ทั้ง 4 คนก็ลำบากขึ้นมาก
รายได้หลักของครอบครัวในตอนนี้มีเพียงเบี้ยคนพิการของน้องปลื้มเดือนละ 1,000 บาท เงินเด็กแรกเกิด 600 บาท และเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของเธอเดือนละ 300 บาท รวมเป็นเงินเพียง 1,900 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินจำนวนนี้แทบไม่พอใช้สำหรับซื้ออาหารเหลวทางการแพทย์ นม และผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับน้องปลื้มที่พิการ
ส่วน น.ส.จิราภรณ์ และลูกอีก 2 คน คือลูกชายคนโต อายุ 14 ปี ที่กำลังจะขึ้นชั้น ม.3 และลูกสาวคนกลาง อายุ 10 ปี ที่กำลังจะขึ้นชั้น ป.5 ต้องอาศัยข้าวก้นบาตรจากวัดมาประทังชีวิต บางครั้งเพื่อนบ้านที่สงสารก็จะแบ่งปันอาหารให้บ้าง
เธอยอมรับว่าบางวันที่ไม่มีข้าวก้นบาตรจากวัด ก็ต้องจำใจฝากลูกชายคนโตให้ช่วยดูแลน้องปลื้มที่ป่วยหนัก เพื่อที่เธอจะได้ออกไปรับจ้างหยอดน้ำกรดหรือกรีดยางตอนเช้ามืด ซึ่งได้ค่าจ้างเพียงครั้งละ 100-200 บาท เพื่อนำมาซื้อข้าวกิน แต่ก็ไม่กล้าทิ้งลูกพิการไว้บ่อยๆ เพราะกลัวน้องจะเป็นอันตรายถึงชีวิต และยังสงสารลูกชายคนโตกับลูกสาวคนกลางที่ไม่มีเงินซื้อชุดนักเรียน รองเท้านักเรียนใหม่ให้ ต้องใส่ชุดที่ได้รับบริจาคมา ซึ่งบางชุดก็เก่าและขาดแล้ว
สำหรับบ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบันก็เป็นที่ดินของญาติสามี ซึ่งอาจจะถูกขอคืนในไม่ช้า ส่วนปู่ ย่า และญาติพี่น้องคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ยากจน ต้องดิ้นรนหาเช้ากินค่ำเหมือนกัน จึงช่วยเหลือได้ไม่มากนัก ทำให้ครอบครัวนี้แทบไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริง
ด้าน นายจรัส บุญหนัก ผู้ใหญ่บ้านซับสมบูรณ์ กล่าวว่า ครอบครัวของ น.ส.จิราภรณ์ น่าเวทนามาก หากสามีไม่ติดคุก ก็ยังพอทำงานเลี้ยงครอบครัวได้ แต่พอสามีถูกจับ ภรรยาซึ่งต้องดูแลลูกพิการก็ออกไปรับจ้างไม่ได้ ทำให้ชีวิตลำบาก ต้องพึ่งพาข้าวก้นบาตรพระ และความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน รวมถึงตัวผู้ใหญ่บ้านเองที่แบ่งปันอาหารให้บ้าง
ส่วนหน่วยงานราชการก็ช่วยเหลือตามระเบียบอยู่แล้ว เช่น เบี้ยคนพิการ เงินเด็กแรกเกิด บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และล่าสุด ทางผู้ใหญ่บ้านได้ทำเรื่องขอรับงบประมาณจากสภาองค์กรชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อนำมาสร้างบ้านให้ครอบครัวนี้ ได้รับงบประมาณมา 30,000 บาทสำหรับซื้อวัสดุอุปกรณ์ โดยชาวบ้านในพื้นที่พร้อมใจกันช่วยลงแรงสร้างบ้านให้ฟรี
อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือที่จำเป็นเร่งด่วนสำหรับครอบครัวนี้ ยังคงเป็นเรื่องอาหารเหลวทางการแพทย์ นม และผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับน้องปลื้ม รวมถึงข้าวสารอาหารแห้งไว้ประทังชีวิต และชุดนักเรียนใหม่สำหรับลูกชายคนโตและลูกสาวคนกลาง เพราะไม่ทราบว่าสามีจะพ้นโทษเมื่อใด
สำหรับผู้มีจิตเมตตาต้องการช่วยเหลือครอบครัวนี้ สามารถติดต่อได้โดยตรงที่ น.ส.จิราภรณ์ ต้นแก้ว เบอร์โทรศัพท์ 098-773-2347 หรือติดต่อผู้ใหญ่บ้าน นายจรัส บุญหนัก เบอร์โทรศัพท์ 081-072-5282
หากต้องการช่วยเหลือเป็นปัจจัย สามารถร่วมบริจาคได้ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาโนนดินแดง บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี ด.ช. ศุภโชค ต้นแก้ว (ลูกชาย) หมายเลขบัญชี 020243498707