ครม. ไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษี PHEV ครั้งใหญ่! ดึงไทยสู่ศูนย์กลางผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโลก

กรุงเทพฯ – คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กรมสรรพสามิตเสนอ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณภาษีรถยนต์ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ PHEV ที่สำคัญของโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มติดังกล่าวซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 3 ประเด็นหลัก:

  1. อัตราภาษีสำหรับรถยนต์ PHEV จะถูกแยกออกจากรถยนต์ Hybrid Electric Vehicle (HEV) อย่างชัดเจน เพื่อสะท้อนถึงเทคโนโลยีและศักยภาพที่แตกต่างกัน
  2. เงื่อนไขการคำนวณอัตราภาษีสรรพสามิตจะอ้างอิงเฉพาะระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง (การชาร์จ) เท่านั้น
  3. ยกเลิกขนาดถังน้ำมัน (Fuel Tank) จากการเป็นเงื่อนไขในการกำหนดอัตราภาษี PHEV โดยสิ้นเชิง

นายเผ่าภูมิเน้นย้ำถึงเหตุผลในการยกเลิกเงื่อนไขขนาดถังน้ำมันว่า การที่ต้องผลิตถังน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลนั้น เป็นการลดศักยภาพของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการผลิต สร้างข้อจำกัดโดยไม่จำเป็น และยังสร้างภาระแก่ประชาชน รวมถึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถยนต์ PHEV ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร การยกเลิกเงื่อนไขนี้จึงเป็นการปรับปรุงให้สอดคล้องกับหลักการสากลมากขึ้น

สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่สำหรับรถยนต์ PHEV ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป มีดังนี้:

  • รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท PHEV ที่มีระยะวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ไม่ต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง จะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ร้อยละ 5
  • รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท PHEV ที่มีระยะวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง จะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ร้อยละ 10

การปรับปรุงหลักเกณฑ์ภาษีในครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยส่งเสริมและต่อยอดให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ PHEV ที่มีมาตรฐานสากลและตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์สันดาปภายในไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต รวมถึงตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการรถยนต์ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการเดินทางในเมือง และใช้พลังงานผสมในการเดินทางระยะไกลระหว่างเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *