จันทบุรี – วันที่ 28 เมษายน 2568 พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ณ สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี

การฝึกในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคสนามและภาคทะเล (Field Training Exercise – FTX) ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติการจริงของหน่วยกำลังรบประเภทต่างๆ เพื่อให้กำลังพลมีความคุ้นเคยและได้รับประสบการณ์ตรง ทดสอบขีดความสามารถในการปฏิบัติการ รวมถึงประเมินความพร้อมทั้งด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์

ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมว่า การฝึกดำเนินกลยุทธ์ในวันนี้ ได้นำยุทโธปกรณ์ทั้งที่มีอยู่เดิมและที่รับมาใหม่มาใช้ฝึกร่วมกัน เพื่อประเมินขีดความสามารถและความเหมาะสมกับการรบจริง โดยเชื่อว่าทุกคนได้เห็นภาพการรบหลายประเภท และการทำงานร่วมกันของอาวุธหลายแบบ

พล.ร.อ. จิรพล ได้เน้นย้ำถึงหัวใจสำคัญของการฝึกในปีนี้ว่า “การฝึกเราไม่ได้ดำเนินการฝึกเพียงแค่เหล่าทัพเดียว เราทำการฝึกร่วมกับกองทัพอากาศ ที่มีเครื่องบิน F-16 เข้ามาสนับสนุนในศาสตร์ของการโจมตีภาคพื้นดิน และอีกส่วนหนึ่งก็ให้กองทัพบก ส่งยานเกราะ Stryker ซึ่งก็ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมฝึกกันในปีนี้ ซึ่งปีที่แล้วกองทัพบก ส่งรถถังเข้ามาฝึก ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกันไป”

เมื่อถูกถามถึงการฝึกร่วมกับเหล่าทัพต่างๆ ในปีต่อไปหรือไม่ ผู้บัญชาการทหารเรือ ชี้แจงว่า แต่ละกองทัพมีขีดความสามารถและข้อจำกัดด้านยุทโธปกรณ์ การรบจึงไม่สามารถทำได้ด้วยเพียงเหล่าทัพเดียว โดยทางอากาศ กองทัพอากาศจะเข้ามาช่วยสนับสนุน ในขณะที่การเคลื่อนกำลังพลจากทะเลขึ้นสู่ฝั่งเป็นภารกิจหลักของกองทัพเรือ ส่วนการรบบนบกก็ใช้กำลังของกองทัพบก ภาพรวมของการรบร่วมทั้ง 3 เหล่าทัพนี้ เป็นการบูรณาการขีดความสามารถร่วมกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการป้องกันประเทศให้สูงขึ้น

สำหรับการพิจารณาเพิ่มยุทโธปกรณ์ในอนาคต ผบ.ทร. กล่าวว่า ต้องพิจารณาจากอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพและจำเป็นต้องจัดหามาทดแทน โดยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินได้นำยุทโธปกรณ์หลากหลายรูปแบบมาใช้ฝึก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการทดลองไปเรื่อยๆ เพื่อหาแนวทางในการใช้งานที่เหมาะสม ทั้งในการตรวจการณ์ ตรวจกำลัง หรือการโจมตี

การฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงครั้งนี้ จำลองสถานการณ์การเข้าตี ยึดครอง รักษาที่หมาย และสถาปนาแนวหัวหาด โดยได้รับการสนับสนุนการยิงอาวุธจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ตลอดจนมีการร้องขอการโจมตีเป้าหมายสำคัญ (High Value Targets) จากกองทัพอากาศ

ยุทโธปกรณ์สำคัญที่นำเข้าร่วมการฝึกของกองทัพเรือ อาทิ ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก AAV, ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก VN16, ยานเกราะล้อยาง BTR-3E1, รถ AWAV และรถยนต์บรรทุกฮัมวี่ ขณะที่กองทัพบกได้จัดรถหุ้มเกราะติดอาวุธแบบ M1126 Stryker ICV จำนวน 4 คัน เข้าร่วมในการดำเนินกลยุทธ์เข้าตีและยึดครองที่หมาย ส่วนกองทัพอากาศจัดเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 เครื่อง สำหรับการขัดขวางกำลังเพิ่มเติมของฝ่ายตรงข้าม โดยมีชุดควบคุมอากาศยานโจมตี (Combat Control Team) จากกรมปฏิบัติการพิเศษหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน คอยให้คำแนะนำการติดต่ออากาศยานเข้าพื้นที่ปฏิบัติการ

การฝึกทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อให้กำลังพลเกิดความรู้ความชำนาญ รับทราบถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของตนเองและยุทโธปกรณ์ รวมถึงการปฏิบัติการร่วมกันกับเหล่าทัพ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนพัฒนาขีดความสามารถสำหรับภารกิจของกองทัพเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงสุด