ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ กลับประเทศไทย ทรงขับเครื่องบินพระที่นั่ง ปิดฉากการเยือนภูฏานอย่างเป็นทางการ
กรุงเทพฯ, 28 เมษายน 2568 – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับถึงประเทศไทยแล้ว ในวันนี้ ภายหลังจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน โดยการเสด็จพระราชดำเนินในครั้งนี้ถือเป็นการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ (State Visit) ครั้งแรกในรัชสมัยของพระองค์ หลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนภูฏานเป็นวันที่ 4 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ในวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากโรงแรมที่ประทับเพมาโกะ ทิมพู ไปยังป้อมดุงการ์ ณ เมืองพาโร เพื่อทรงสักการะพระศากยมุนี และทอดพระเนตรกิจกรรมของราชวิทยาลัย รวมถึงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการพัฒนาเมืองเกเลฟู ให้เป็นเมืองแห่งสติปัญญาในเขตปกครองพิเศษ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญของภูฏาน
เมื่อเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติพาโร เพื่อประทับเครื่องบินพระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก แห่งภูฏาน เสด็จฯ เฝ้าส่งเสด็จถึงท่าอากาศยาน ทั้งสองพระองค์ได้ทรงโบกพระหัตถ์ขณะเครื่องบินพระที่นั่งเคลื่อนผ่าน ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองราชอาณาจักร
ในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทยด้วยเครื่องบินพระที่นั่งในครั้งนี้ มีรายงานที่สร้างความประทับใจอย่างยิ่ง คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบินที่ 1 ในขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบินผู้ช่วย ซึ่งแสดงถึงพระปรีชาสามารถและพระวิริยะอุตสาหะของทั้งสองพระองค์
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการสนองตอบคำทูลเชิญ แต่ยังเป็นการกระชับมิตรภาพและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างประเทศไทยและภูฏานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยทั้งสองประเทศมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา รวมถึงมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างราชวงศ์ของทั้งสองประเทศและระหว่างประชาชนของทั้งสองฝ่าย การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ยั่งยืนต่อไป