SCB EIC เตือน! สงครามการค้าฉุดเศรษฐกิจโลกและไทยเสี่ยงถดถอย หั่นคาดการณ์ GDP เหลือ 1.5%

กรุงเทพฯ, 28 เมษายน 2568 – ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เปิดเผยการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 โดยชี้ว่า ปัจจัยหลักมาจากความรุนแรงของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนและประเทศคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งได้กดดันภาวะเศรษฐกิจให้มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย

SCB EIC ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 ลงเหลือ 2.2% จากเดิมที่คาดไว้ 2.6% โดยระบุว่า สาเหตุสำคัญมาจากกำแพงภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ ซึ่งรวมถึงภาษีขั้นต่ำ 10% กับเกือบทุกประเทศ และภาษีเฉพาะรายสินค้า เช่น ยานยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังคงเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้าจีนในอัตราสูงถึง 125% (และอาจสูงถึง 145% เมื่อรวมภาษีเฉพาะรายสินค้า)

ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 3 ของปี เมื่อสหรัฐฯ มีแนวโน้มเริ่มเก็บภาษีตอบโต้คู่ค้าราว 60 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ หลังสิ้นสุดช่วงเจรจา 90 วัน โดยกลุ่มประเทศในเอเชียและอาเซียนจัดอยู่ในกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากมีสัดส่วนการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง

ในด้านนโยบายการเงิน SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มใช้นโยบายผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คาดว่าจะลดดอกเบี้ยรวม 0.75% (จากเดิม 0.50%) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดจะเร่งลดดอกเบี้ยรวม 1.25% (จากเดิม 1%) ขณะที่ ธนาคารกลางจีน มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (7-day reverse repo) 0.50% (คงมุมมองเดิม) แต่จะรักษาระดับไม่ให้ต่ำกว่า 1% เพื่อคงพื้นที่นโยบายสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทย SCB EIC คาดว่าไตรมาสแรกของปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่องได้ราว 3% จากปัจจัยสนับสนุนด้านการส่งออกสินค้าที่เร่งตัวก่อนการขึ้นภาษี การบริโภคภาคเอกชน และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคมได้เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมหลังเกิดเหตุจนถึงสงกรานต์ปรับลดลงจากปีก่อน แม้บางตลาด เช่น อินเดียและรัสเซียจะยังเติบโตได้ดี

สิ่งที่น่ากังวลคือ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ซึ่งหมายถึงภาวะที่ GDP ติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน ปัจจัยมาจากผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้ารอบใหม่ และความไม่แน่นอนที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชน

SCB EIC ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือเพียง 1.5% จากเดิมที่ 2.4% โดยประเมินว่า การส่งออกจะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง การลงทุนภาคเอกชนอาจชะลอแผนการลงทุนใหม่ และการบริโภคภาคเอกชนอาจยืดเยื้อออกไป ตามแนวโน้มสงครามการค้าที่รุนแรงกว่าคาดและความไม่แน่นอนสูงของนโยบายการค้าสหรัฐฯ

การที่ไทยได้รับผลกระทบสูงจากสงครามการค้าครั้งนี้ เนื่องจากไทยพึ่งพาทั้งตลาดสหรัฐฯ และจีนในสัดส่วนที่สูง โดย SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ กว่า 80% เสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราสูงกว่าประเทศคู่แข่ง และอาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกลดลงสะสมราว 8.1 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี หากสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้สินค้าไทย 36% ตามที่ประกาศไว้จริง นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีน

ธุรกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบสูง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ หรือจีนสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร และอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังประเมินว่า ลูกจ้างราว 11% ของลูกจ้างทั้งหมดอาจได้รับผลกระทบสูงตามมา

ในส่วนของนโยบายการเงินในประเทศ SCB EIC มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอลง และภาวะการเงินที่ตึงตัว โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 30 เมษายนนี้ ระดับอัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปีนี้จะต่ำกว่าช่วงสงครามการค้าปี 2561–2562

สำหรับค่าเงินบาท หลังแข็งค่าเร็วหลังประธานาธิบดีทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้า ในระยะสั้นคาดว่าจะกลับมาอ่อนค่าในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากสหรัฐฯ กลับมาขึ้นภาษีบางส่วนและเศรษฐกิจไทยชะลอลง แต่ในระยะยาว คาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในกรอบ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี จากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จะยิ่งลดทอนความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย นอกเหนือจากผลกระทบด้านภาษี.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *