ผู้ปกครองอ่วม! เปิดเทอมใหม่ปี 2568 ค่าใช้จ่ายพุ่ง 2.8 หมื่นบาท ‘นักวิชาการ’ ชี้ ‘เรียนฟรีทิพย์’ เด็กเสี่ยงหลุดระบบพุ่ง จี้ ศธ.แก้ด่วน

กรุงเทพฯ – นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยถึงสถานการณ์การศึกษาไทยที่น่าเป็นห่วงรับการเปิดเทอมใหม่ปีการศึกษา 2568 ในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยระบุว่าสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างวิกฤตและท้าทายอย่างยิ่งสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

นายสมพงษ์ ชี้ว่า ขณะนี้ผู้ปกครองต้องเตรียมตัวและเตรียมเงินเพิ่มมากขึ้น จากการสำรวจพบว่าค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวให้บุตรหลานเข้าสู่ระบบการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหม่นี้ เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าตัว หรือสูงถึงประมาณ 25,000 – 28,000 บาทต่อคนต่อปี

“ดังนั้น เรื่องของ ‘เรียนฟรี’ ที่รัฐบาลพยายามส่งเสริม แท้จริงแล้ว ‘ไม่มีจริง’ หรือเป็นเพียงแค่ ‘เรียนฟรีทิพย์’ เท่านั้น” นายสมพงษ์ กล่าวย้ำ

แม้จะมีความพยายามปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องแบบลูกเสือ ซึ่งนายสมพงษ์ชื่นชมว่าเป็นการปรับตัวที่ดี สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและภูมิอากาศ ช่วยลดภาระผู้ปกครองได้ประมาณ 1,500 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 6% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทำให้ค่าใช้จ่ายที่เหลือยังคงสูงถึงประมาณ 23,000 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 94% ของภาระทั้งหมด

ในสภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ผู้คนเสี่ยงตกงาน หนี้สินครัวเรือนพุ่งสูง การค้าขายซบเซา ประกอบกับปัญหาแรงงาน ปัญหาจีนเทา และปัจจัยภายนอกอื่นๆ ยิ่งซ้ำเติมความยากลำบากของผู้ปกครอง ทำให้การตัดสินใจนำลูกออกจากระบบการศึกษาเพิ่มสูงขึ้น

ข้อมูลน่าตกใจคือ ในปี 2566 มีเด็กที่เคยหลุดออกจากระบบการศึกษาถึงประมาณ 1,025,214 คน แม้จะติดตามกลับมาเรียนได้ประมาณ 9.8 แสนคน แต่ก็ยังพบว่ามีการเข้าออกระบบการศึกษาตลอดเวลา การช่วยเหลือครอบครัวระดับล่างและครอบครัวยากจนให้สามารถส่งลูกเรียนต่อไปได้จึงเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากค่าเครื่องแบบลูกเสือที่ลดลงเพียงเล็กน้อย ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมายที่ผู้ปกครองต้องแบกรับ เช่น ค่าบำรุงโรงเรียน ค่าแป๊ะเจี๊ยะ หรือเงินบริจาคแรกเข้า ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าประกันชีวิต และอื่นๆ อีกกว่า 10 รายการ การช่วยเหลือผู้ปกครองจึงไม่สามารถมองแค่การช่วยค่าเครื่องแบบลูกเสือเพียงอย่างเดียวได้

นายสมพงษ์ มองว่าสถานการณ์เด็กออกนอกระบบในช่วงเปิดเทอมใหม่นี้มีโอกาสเกิดขึ้น 50/50 โดยมีประเด็นเร่งด่วนที่ ศธ. ต้องเร่งเตรียมรับมือ ดังนี้:

  1. ค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง: รัฐบาลจะช่วยเหลืออีก 94% ที่เหลือได้อย่างไร เพื่อไม่ให้การเรียนฟรีกลายเป็นเรียนฟรีทิพย์ ต้องหาทางลดค่าเทอม ค่าบำรุงโรงเรียน ซึ่งเป็นภาระหนักที่สุด สพฐ. จะเข้ามามีบทบาทอย่างไร เมื่อระบบการศึกษาเป็นภาระ ยิ่งทำให้ผู้ปกครองตัดสินใจนำลูกออกจากระบบง่ายขึ้น
  2. การศึกษาไม่ตอบโจทย์ชีวิต: การศึกษาปัจจุบันยังไม่ตอบสนองความต้องการของเด็กที่จะมีงานทำ ต้องเร่งปรับหลักสูตร พัฒนาทักษะและสมรรถนะที่จำเป็น ทำอย่างไรให้เกิดระบบที่เด็กสามารถเรียนควบคู่ไปกับการทำงานได้ ขณะเดียวกัน ต้องช่วยเหลือผู้ปกครองให้มีรายได้และอาชีพด้วย ซึ่งประเด็นเหล่านี้มักถูกมองข้าม
  3. เด็กเสี่ยงหลุดนอกระบบ: มีเด็กประมาณ 1.8 ล้านคน ที่เสี่ยงหลุด และเด็กยากจน 5-6 แสนคนที่ไม่มีหน่วยงานดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งกลุ่มนี้มีโอกาสหลุดจากระบบสูงมาก แม้จะมีทุน กสศ. แต่ก็ช่วยได้เพียงบางส่วน ยังมีเด็กที่มีปัญหาเฉพาะ เช่น ถูกบูลลี่ ปัญหายาเสพติด หรือเด็กที่มีข้อจำกัดอื่นๆ ประกอบกับระบบราชการยังไม่ยืดหยุ่น ทำให้เด็กกลุ่มนี้ค่อยๆ ถูกผลักออกจากระบบ
  4. การติดตามเด็กกลับมาเรียน: แม้รายงานจากบางจังหวัดจะแจ้งว่าติดตามเด็กกลับมาเรียนตามนโยบาย Thai Zero Dropout ได้ 100% นายสมพงษ์เตือนให้ ศธ. อย่าเพิ่งวางใจ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะการตามเด็กที่หลุดไปแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย เด็กจำนวนมากปฏิเสธความช่วยเหลือเนื่องจากความจำเป็นทางครอบครัวที่ต้องหารายได้ หากไม่เตรียมรับมือ เด็กไทยจำนวนมากอาจต้องหลุดออกจากระบบอย่างถาวร

นายสมพงษ์ เสนอแนวทางให้เด็กไทยอยู่รอดในระบบ โดยเชื่อมโยงนโยบาย Thai Zero Dropout กับการเปิดเทอมใหม่นี้ โดย สพฐ. ควรนำนโยบาย “ตามน้องกลับมาเรียน และนำการเรียนมาให้น้อง” รวมถึง “1 โรงเรียน 3 ระบบ” ที่ออกแบบมาดีแล้ว มาปฏิบัติอย่างจริงจัง พร้อมทั้งจัดหาทุนการศึกษา หางานทำให้ผู้ปกครอง ครูต้องติดตามเยี่ยมบ้านเด็กอย่างจริงจังก่อนเปิดเทอม และให้ความช่วยเหลือประคับประคอง อาจพิจารณาหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือไม่มีดอกเบี้ยให้ผู้ปกครอง

โจทย์ใหญ่สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปีนี้คือ จะทำอย่างไรให้ค่าใช้จ่ายผู้ปกครองที่สูงถึง 25,000-28,000 บาท ลดลงจนแทบเป็นศูนย์สำหรับครอบครัวที่ยากลำบาก และใครจะรับผิดชอบดูแลเด็กยากจน 5-6 แสนคนที่ยังไม่มีเจ้าภาพชัดเจน จำเป็นต้องมีนโยบายใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการบังคับใช้นโยบายเดิมอย่างเข้มงวด

นอกจากนี้ ต้องหาทางช่วยเหลือให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีรายได้และอาชีพที่มั่นคง พร้อมทั้งขยายโอกาสให้เด็กและผู้ปกครองเข้าถึงนวัตกรรมการศึกษา เช่น โรงเรียนเคลื่อนที่ หรือโรงเรียนที่จัดการเรียนแบบ 1 โรงเรียน 3 ระบบ ซึ่งมีอยู่กว่า 900 โรงเรียนให้มากขึ้น

“ศธ. ต้องจัดการกับโรงเรียนดังๆ ที่เรียกเก็บค่าบำรุง ค่าแป๊ะเจี๊ยะ หรือค่าจิปาถะอื่นๆ จนผู้ปกครองเดือดร้อน โดยต้องให้โรงเรียนผ่อนปรนช่วยเหลือผู้ปกครอง” นายสมพงษ์ กล่าว และยังเตือนให้ระวังการออกระเบียบต่างๆ เช่น เรื่องเครื่องแบบลูกเสือที่อาจคล้ายระเบียบทรงผม คือส่วนกลางแก้แล้ว แต่ให้โรงเรียนใช้ดุลพินิจ ซึ่งอาจทำให้บางโรงเรียนยังคงบังคับใช้ชุดเครื่องแบบเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในวันสำคัญ เช่น วันลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเด็กในโรงเรียนที่ยืดหยุ่นกว่า การออกระเบียบต้องคำนึงถึงการปฏิบัติจริงและป้องกันปัญหาในทุกระดับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *